คุณป้าไวรัส


สรุปจากสายตาของผม ป้าไวรัสเป็นคนน่ารัก แคร์คนอื่น ไม่ละเลย ผมทำเศษกระดาษเล็กๆหล่น กะว่าเดี๋ยวจะเก็บเพราะกำลังติดพัน เธอเดินเข้ามาเห็นก็ก้มลงเก็บให้ และที่สำคัญคือความรับผิดชอบต่อหน้าที่ครับ

วันที่ 18 มิถุนายน 2550

เริ่มวันจันทร์ของสัปดาห์ที่ 7 ด้วยความสดใสครับ วันนี้ฝนไม่ยักกะตกเหมือน 2 วันที่ผ่านมา สงสัยฟ้าจะไม่อยากให้ผมเที่ยวกระมัง วันนี้ตอนเช้าทำงานที่คลินิกกับครูลี บ่ายเป็นช่วงว่างสำหรับงานวิจัย

                พูดถึงเรื่องงานวิจัยแล้ว ต้อกล่าวถึงคนๆนี้ เธอเป็นหญิงกลางคน อายุราวๆ 45-50 น่าจะได้ เชื้อสายออกไปทางอินเดีย เป็นเจ้าหน้าที่ที่ทำงานอยู่ในห้องเก็บเวชระเบียน ที่ต้องทำหน้าที่จัดการและหาแฟ้มผู้ป่วยให้แพทย์ เธอชื่อ Rubella ครับ ผมจึงตั้งชื่อเธอใหม่เสียว่า มีส ไวรัส (รู้กันแค่ 3 คน กับเพื่อน fellow ของผม)

                เมื่อครั้งที่เจอเธอครั้งแรกเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ดูน่าเกรงขามมาก เพราะครั้งแรก

ผมเข้าไปหาเธอผิดประตู เธอต่อว่าเล็กน้อยว่าเข้าผิดทาง จะให้ผมออกไปเข้าทางใหม่ แต่ไม่ทันได้ไปตามทางเธอก็บอกว่า ไม่เป็นไร เพราะเข้ามาแล้ว (นั่นน่ะสิ) จากนั้นก็พาผมไปในห้องเก็บข้อมูล ซึ่งเป็นห้องเล็กๆที่เก็บแฟ้มไว้มากมาย และเป็นระเบียบ ซึ่งก็เป็นเพราะเธอที่เป็นคนจัดการทั้งหมด มีหมอหรือเจ้าหน้าที่มานั่งเก็บข้อมูลราวๆ 2-3 คน เธอพาผมไปรู้จักกับวิธีการเข้ามาในหน่วยงานนี้ การลงชื่อ เหมือน immigration เลยครับ

                ผ่านไปราว 2 สัปดาห์ เธอก็เริ่มสนิทกับผม จำชื่อผมได้ และทุกครั้งที่มาเก็บข้อมูล ก็จะมากำชับทุกครั้งว่า เมื่อเก็บข้อมูลเสร็จผมควรจะพาแฟ้มไปวางที่ไหน และผมก็ทำตัวเป็นเด็กดีทุกครั้งไม่เคยขาดตกบกพร่อง

                ทุกครั้งที่เข้าไปเก็บข้อมูล ผมต้องลงชื่อที่ immigration ต้องเจอกับคุณน้าท่านหนึ่ง (จะเรียกว่าลุงก็แก่เกินไป) เป็นคนอินเดีย ทุกครั้งที่เข้าไป น้าจะทักทายสวัสดีผมก่อนเสมอ สุภาพมาก เวลาเขียนบันทึกเวลาเข้า หากผมทำท่าดูเวลา ก็จะบอกเวลาผมทันที แถมเวลาลงบันทึกเสร็จ ก็จะขอบคุณผมทันที ผม thank you ท่านก็ welcome doctor น่ารักจริงๆ

                วันนี้ผมมีแฟ้มให้ลงบันทึกราวๆ 30 แฟ้ม แรกเริ่มคุณป้าไวรัสเอามากองไว้ให้ประมาณ 20 แฟ้ม ขณะที่นั่งบันทึก ท่านก็เข้ามาทักทายประมาณ 2-3 ครั้ง แถมยังถามว่า คิดว่าวันนี้จะเสร็จไหม จะได้เตรียมหาให้เพิ่ม หรือว่าจะมาทำตอนเย็นหลัง 6 โมงก็ได้นะ จะหามาให้ อยากจะมาทำงานวันเสาร์มั้ย เดี๋ยวจัดให้ (ประเภทว่าชงมาตลอดว่างั้นเถอะ) ผมก็ตอบไปด้วยความโอภาปราศรัยว่า ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ชอบทำงานนอกเวลาครับ ต้องพักผ่อนบ้าง (แบบว่าขี้เกียจน่ะครับ) ผมก็นั่งทำงานไปเรื่อยๆ จนเวลา 4 โมง เธอก็ขนมาให้อีกเกือบ 10 แฟ้ม ผมนี่แทบจะฮาเลยครับ สงสัยไม่อยากจะให้เรากลับบ้าน และผมก็จัดการจนเสร็จเหมือนกัน ก็ราวๆ 5 โมงครึ่งนั่นแหละ

                สรุปจากสายตาของผม ป้าไวรัสเป็นคนน่ารัก แคร์คนอื่น ไม่ละเลย ผมทำเศษกระดาษเล็กๆหล่น กะว่าเดี๋ยวจะเก็บเพราะกำลังติดพัน เธอเดินเข้ามาเห็นก็ก้มลงเก็บ

ให้ และที่สำคัญคือความรับผิดชอบต่อหน้าที่ครับ

                คุณน้าที่ immigration ก็ช่างนอบน้อมถ่อมตนเสียเหลือเกิน thank you doctor, welcome ได้ยินจากปากท่านบ่อยเหลือเกิน

                คนที่นี่บ้างาน ขนาด 5 โมงครึ่งแล้ว ยังพบวิศวกร พนักงาน คนงานระดับต่างๆยังทำงานกันคลาคล่ำ ในห้องเก็บเวชระเบียนนี้เขาก็ใช้หุ่นยนต์รถเตี้ยๆที่ผมเคยคิดว่าผีหลอกมาขนส่งตู้เวชระเบียนตลอด คนงานเอย วิศวกรเอยก็มาดูแล มาซ่อมแซม และนิเทศงาน (ผมสังเกตว่าวันนี้ มีน้องใหม่มาทำงานในหน่วยงานหุ่นยนต์ขนส่งนี้หลายคน)

                ก็นึกสงสัยเหมือนกันว่า แล้วเขาไม่กลับบ้านเร็วๆ เพื่อดูแลครอบครัวตัวเองบ้างหรือ

                วันนี้ได้อ่านหนังสือสารคดี (ฉบับที่ ๒๗๖ พฤษภาคม ๒๕๕๐) หยิบติดมาจากบ้าน อ่านบทความสัมภาษณ์คุณมาโนช พุฒตาล มีตอนหนึ่งที่เขียนโดนใจมาก ขออนุญาตนำมาลงครับ

                ประเด็นก็คือว่าเราจะยึดสิ่งนี้ (งาน) เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกๆของชีวิตหรือไม่ บางคนบอกว่าไม่ได้ ถ้าเราทิ้งงาน เราก็จะไม่มีเงินมาเลี้ยงลูก แต่ถ้าลองคิดว่ายอมทิ้งงานแล้วไปกับลูกก่อน ซึ่งอาจจะเสียงาน แต่เมื่อบวกลบคูณหารแล้ว บางทีเราได้กำไรกว่า

                ตรงใจผมจริงๆครับ
หมายเลขบันทึก: 104367เขียนเมื่อ 18 มิถุนายน 2007 19:27 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 19:05 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)
ต้องขอร่วมออกความเห็นจากประสบการณ์ว่า ตอนที่ลูกอยู่ในวัยที่ต้องการเรานั่นแหละค่ะ สำคัญที่สุด งานไหนๆก็อย่าเอามาแลกเลย หรือถ้าต้องแลกก็ต้องหาแนวทางให้ลูกได้มีส่วนร่วมด้วยเสมอให้มากที่สุด มักจะเสียดายแทนคนหลายๆคนที่ได้เห็นว่าทุ่มเททำงานจนไม่มีเวลาให้ลูกตอนที่ลูกต้องการ แล้วพอตอนที่คิดจะพักอยู่กับลูก ลูกก็โตเกินกว่าจะสนใจพ่อแม่เสียแล้ว อะไรๆก็ดูเหมือนจะรอได้ ยกเว้นเวลาสำหรับลูกนี่แหละค่ะ

เห็นด้วยอย่างยิ่งครับผมคุณ P

ผมเองก็เคยวิเคราะห์กรณีการทุ่มเททำงาน โดยอ้างว่าทำเพื่อครอบครัว หาเงินให้ลูกใช้ ว่าจริงๆแล้วในส่วนลึกไม่ได้นึกถึงลูกเท่าไหร่หรอกครับ

ผมว่าอาจจะเป็นการนึกถึงตัวเองมากกว่าเสียอีกนะครับ

ทำงานหนักเพื่อตัวเองก้าวหน้าในการงาน (ลูกไม่ได้ต้องการพ่อที่เป็นศาสตราจารย์ทุกคนหรอก)

ทำงานหนักเพื่อหาเงิน แต่ปรากฏว่าไม่มีโอกาสได้ใช้เงินเลย เพราะพ่อไม่ว่าง ไม่สามารถไปเที่ยวได้

ก็เพื่ออนาคตของลูกไง แต่จะเพื่ออนาคตของเขาได้อย่างไร ในเมื่อพื้นฐานในวัยเด็กยังไม่แน่นเลย

ผมเองก็เหมือนกันครับ ทิ้งลูกมานาน เพื่อจะเรียน เห็นไหมครับ ไม่ใช่เรียนเพื่อรักษาลูกหรอก แตเพื่อมารักษาใครก็ไม่รู้ แต่ก็ต้องมาเรียน เพื่อตัวเองจะได้เก่งขึ้น ไม่ใช่ลูกเก่งขึ้น

เลยต้องกลับบ้านเหมือนเรียนอยู่ที่กรุงเทพเลยครับ เดือนละ 2 ครั้ง ฮา ฮา

อาจารย์เอารูปโหลดขึ้นใน GotoKnow ได้เมื่อไหร่ (ดูวิธีได้จากบันทึกนี้นะคะ โดยที่ต้องย่อขนาดรูปให้เล็กลงก่อน ด้วยวิธีในบันทึก โปรแกรมฟรีของ Microsoft สำหรับย่อปรับขนาดรูป ดาวน์โหลดได้ที่นี่ค่ะ  แล้วก็โหลดขึ้นมา GotoKnow โดยใช้ function นำไฟล์ขึ้น อยู่ในหัวข้อไฟล์อัลบั้มของเราเองค่ะ) อย่าลืมเอารูปเจ้าหุ่นยนตร์ที่เล่านี้มาเผื่อแผ่กันด้วยนะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท