พุทธทำนาย ๑๖ ข้อ(ข้อ ๑๐ - ข้อ๑๓)


อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น คนดี มีความรู้ดี มีสติปัญญาดี มีความรอบรู้ มีความฉลาด มีความสามารถ มีทั้งพระและฆราวาส จะไม่ได้รับความยกย่องเชิดชูในสังคม จะถูกขัดขวางจากกลุ่มคนพาลสันดานชั่วอยู่ตลอดเวลา

ผมขอนำเสนอเนื้อหาพุทธทำนายข้อ ๑๐ ถึงข้อ ๑๓ ต่อนะครับ (สามารถอ่าน ข้อ ๑ ข้อ ๒-ข้อ ๕ และข้อ ๖-ข้อ ๙ ได้โดยกดลิงค์ที่ชื่อข้อครับ)

เนื้อหานี้ได้คัดลอกมาจากหนังสือ “พุทธทำนาย ๑๖ ข้อ”ที่เรียบเรียงโดยพระอาจารย์ทูล ขิปปปัญโญ วัดป่าบ้านค้อ จังหวัดอุดรธานี

ผมขอให้ผู้อ่านทุกท่านได้โปรดใช้วิจารณญานในการอ่านด้วยนะครับ

สุบินนิมิตข้อที่ ๑๐

พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงสุบินนิมิตเห็นข้าวในหม้อหุงข้าวหม้อเดียวมีความแตกต่างกัน  ข้าวในหม้อซีกหนึ่งสุก ซีกหนึ่งสุกๆดิบๆ อีกซีกหนึ่งไม่สุกเลย

พระพุทธองค์ทรงทำนายว่า

อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น คนในโลกนี้จะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันไป

กลุ่มหนึ่งจะมีความเชื่อว่า เราตถาคตเป็นที่พึ่งที่เคารพจริง พระธรรมคำสอนของเราตถาคตเป็นสวากขาตธรรม เมื่อนำไปปฏิบัติให้ถึงที่สุดแล้ว จะพ้นจากทุกข์ได้จริง เชื่อว่ามีมรรคผลนิพพานจริง นรกสวรรค์มีจริง กรรมดีกรรมชั่วให้ผลแก่บุคคลที่กระทำจริง ตายแล้วเมื่อยังมีกิเลสตัณหาอยู่เชื่อว่าได้มาเกิดใหม่

อีกกลุ่มหนึ่งยังไม่แน่ใจว่า มรรคผลนิพพานในยุคนี้จะมีหรือไม่ เพราะพระพุทธศาสนาได้ล่วงเลยไปนาน พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามีความสมบูรณ์อยู่หรือไม่ พระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบบรรลุมรรคผลนิพพานในยุคนี้มีจริงหรือไม่ มีแต่ความสงสัยลังเลไม่แน่ใจ

อีกกลุ่มหนึ่งปฏิเสธว่า มรรคผลนิพพานไม่มี นรกสวรรค์ไม่มี ทำดีทำชั่วไม่ให้ผลในภายหน้าชาติหน้า ตายแล้วไมได้กลับมาเกิดใหม่แต่อย่างใด

ในช่วงปลายพุทธศาสนาโน้น คนจะเกิดมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นผิดมากขึ้นมากขึ้นดังนี้

พุทธทำนายข้อนี้แค่มาได้ครึ่งทาง(ยังไม่ถึงปลายเลย)ของพุทธศาสนาก็เป็นจริงแล้วครับ

สุบินนิมิตข้อที่ ๑๑

พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงสุบินนิมิตเห็นคนพวกหนึ่งเอาแก่นจันทน์แดงที่มีราคาแพงไปแลกกับนมเปรี้ยวหม้อเดียว ซึ่งไม่สมค่าราคากันเลย

พระพุทธองค์ทรงทำนายว่า

อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น คนพวกหนึ่งจะเอาธรรมคำสั่งสอนของเราตถาคตไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินตรา จะเขียนเป็นตำราเพื่อออกจำหน่าย ขายกิน หารายได้เพื่อเลี้ยงชีวิต

เอาพระธรรมคำสอนของเราตถาคต ทำเป็นการแสดง แต่งกลอน เพื่อผลประโยชน์ในกัณฑ์เทศน์ แสดงธรรมเพื่อเห็นแก่ค่าจ้างรางวัล อันเป็นอามิส ไม่สมค่าราคากันเลย

สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นในช่วงปลายศาสนาของเราตถาคตโน้น

พุทธทำนายข้อนี้ น่าจะเริ่มเป็นจริงแล้วนะครับ ตัวอย่างได้แก่ ปัจจุบันมีหนังสือธรรมออกวางจำหน่ายจริง หลายๆวัดทำธุรกิจงานศพอย่างเป็นล่ำเป็นสัน

สุบินนิมิตข้อที่ ๑๒

พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงสุบินนิมิตเห็นน้ำเต้าแห้งเปล่ากลวงใน ซึ่งตามธรรมดาแล้วจะลอยอยู่บนผิวน้ำ แต่น้ำเต้าเปล่านั้นกลับดิ่งจมลงในน้ำนั้นเสีย

พระพุทธองค์ทรงทำนายว่า

อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น คนดี มีความรู้ดี มีสติปัญญาดี มีความรอบรู้ มีความฉลาด มีความสามารถ มีทั้งพระและฆราวาส จะไม่ได้รับความยกย่องเชิดชูในสังคม จะถูกขัดขวางจากกลุ่มคนพาลสันดานชั่วอยู่ตลอดเวลา

ถ้าเป็นฆราวาสก็ไม่มีโอกาสได้ทำงานในการบริหารประเทศชาติบ้านเมือง คนมีความรู้ความสามารถ มีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีโอกาสได้รับเลือกตั้งเข้ามาในสภาสันนิบาต หรือได้รับเลือกเข้ามาแล้วก็ไม่มีโอกาสได้ทำงานเพื่อประเทศชาติอย่างเต็มที่

จะมีกลุ่มทุจริตคิดมิชอบเพื่อหวังผลประโยชน์ต่างๆเบียดให้ตกเก้าอี้ไป ในสายตาของกลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้ จะมองเห็นคนดีๆว่าเป็นตัวกาลกิณีของเขา ไม่ยอมที่จะให้เข้าไปรู้เห็นในความทุจริตคิดมิชอบของตน คนดีๆจึงไม่มีในสังคมนี้เลย

ถ้าเป็นนักบวชก็เป็นในลักษณะนี้เช่นกัน ท่านองค์ใดมีใจบริสุทธิ์ผุดผ่องในพระธรรมวินัย มีความรู้ดี ปฏิบัติชอบต่อมรรคผลนิพพาน ท่านเหล่านั้นจะไม่มีใครให้ความสนใจ ไม่อยากเข้าใกล้ ไม่อยากฟังธรรม จะมองเห็นว่าเป็นพระคร่ำครึล้าสมัย ไม่เกิดศรัทธา ไม่อยู่ในสายตาของเขาแต่อย่างใด เพราะใจไม่มีความเคารพเชื่อถือในท่านเหล่านั้น แม้แต่จะแบ่งปันปัจจัยสี่ที่มีอยู่อย่างเหลือเฟือก็ไม่เต็มใจ ถึงจะถวายให้ก็นิดหน่อยพอเป็นพิธีเท่านั้น ท่านเหล่านี้จึงมีชีวิตอยู่ด้วยความลำบาก ใครก็ไม่อยากบวชเป็นพระลักษณะนี้ ในที่สุดพระดีๆ มีคุณธรรม ก็จะค่อยๆหมดไปหมดไปในศาสนาของเราตถาคต

เรื่องเหล่านี้จะเกิดมีในภายหน้าโน้น

พุทธทำนายข้อนี้น่าจะเริ่มมีบางส่วนที่เข้าเค้าแล้วนะครับ  หลายสิบปีก่อน คนดีๆที่มีความรัก ภักดีต่อชาติบ้านเมืองอย่างเช่น ท่านดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์ กับท่านดร.ปรีดี พนมยงค์ถูกใส่ร้าย กลั่นแกล้งจนต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศ ตอนนี้ท่านพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ก็กำลังถูกกลุ่มผู้ไม่หวังดีต่อประเทศชาติหาทางขับไล่เช่นเดียวกัน

แต่บางส่วนของเนื้อความในพุทธทำนายข้อนี้ก็ยังไม่เกิด เช่นกรณีพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็ยังมีผู้คนส่วนใหญ่อยากฟังธรรม อยากทำบุญด้วย

สุบินนิมิตข้อที่ ๑๓

พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงสุบินนิมิตเห็นก้อนศิลาแท่งทึบขนาดใหญ่เท่าเรือน ลอยอยู่บนผิวน้ำเหมือนกับเรือสำเภาเปล่า ซึ่งตามธรรมดาแล้ว ก้อนศิลาย่อมจมอยู่ใต้น้ำ แต่ก้อนศิลานั้นกลับลอยอยู่บนผิวน้ำ

พระพุทธองค์ทรงทำนายว่า

อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น คนพาลสันดานชั่ว คนทุศีล คนทุธรรม คนขี้โกง คนประจบสอพลอ คนทุจริตคิดมิชอบ คนไม่มีความละอาย จะได้เป็นที่ยกย่องเชิดชูในสังคม เป็นผู้มีบทบาท มีอำนาจ มีชื่อเสียงเกียรติยศ มีพวกพ้องบริวารมาก

ถ้าเป็นฆราวาสก็จะมีแต่ผู้เชิดหน้าชูตา ไปไหนมาไหนมีแต่คนเคารพยำเกรง มีฝูงชนให้การต้อนรับเอาใจ เรียกว่าเป็นกระจกบานใหญ่ที่สะท้อนแสงเงาของประเทศนั้นๆ  สังคมของประเทศนั้นมีความเจริญหรือเสื่อมลง ก็ให้ดูกระจกบานใหญ่ที่ตั้งอยู่ในสภา ซึ่งจะเป็นสื่อบอกประตูหน้าต่างสังคมได้เป็นอย่างดีว่า ประเทศใดมีตัวแทนลักษณะใด ก็จะทราบได้ว่าผู้ที่เลือกเขาเข้ามาก็จะมีลักษณะอย่างนั้น เขาจะเลือกเอาเกรดเดียวกัน ยี่ห้อเดียวกัน

ถ้าเป็นนักบวช นักพรต ก็เป็นลักษณะนี้ ศาสนาจะมีความเจริญขึ้นหรือเสื่อมลง ก็ขึ้นอยู่กับบริษัททั้ง ๔ ลำพังพระอย่างเดียว จะโดดเด่นขึ้นในท่ามกลางของสังคมนั้นไม่ได้ พระที่จะมีชื่อเสียงโด่งดัง ก็เพราะญาติโยมนำไปออกข่าวโฆษณา ว่าองค์นั้นมีความขลังอย่างนั้น องค์นี้มีความศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้ มีอภินิหาร ไปทางไหนก็นำไปออกข่าว

องค์ไหนปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ องค์ไหนเป็นพระอริยเจ้า ฆราวาสจะเป็นผู้คาดการณ์ให้เอง ในยุคสมัยนั้น พระอรหันต์จะเกิดจากลูกศิษย์ยกให้เอง ศิษย์แต่ละครู ศิษย์แต่ละสำนัก จะกำหนดรูปแบบอาจารย์ของตัวเองให้เป็นพระอรหันต์ขึ้น เรื่องข้อวัตรปฏิบัติของอาจารย์มีความเคร่งครัดอย่างไร ก็นำไปโฆษณาอย่างหยดย้อย

นี่เองก้อนศิลาแท่งทึบจึงได้ลอยอยู่บนผิวน้ำ มีความโดดเด่นเห็นได้ชัดเจน จึงเป็นธุรกิจในคราบผ้ากาสาวพัสตร์บังหน้า เอาศาสนามาแอบอ้างหากิน

เมื่อช่วงปลายศาสนาโน้น คนจะหมดความเลื่อมใสในศาสนาของเราตถาคต คนที่มีศรัทธาเบาบางจะค่อยจืดจางไป เพราะเห็นความชั่วร้ายของพระยุคนั้น

ผู้ที่มีปัญญาดี มีความมั่นคง มีเหตุมีผล เขาจะแสวงพระที่เป็นพระได้อย่างถูกต้อง

เมื่อปลายศาสนาโน้น เรื่องอย่างนี้จะต้องเกิดขึ้นแน่นอน

พุทธทำนายข้อนี้ ผมคิดว่าเป็นเช่นเดียวกับข้อ ๑๒ ครับ คือเนื้อหาบางส่วนเริ่มเป็นจริงแล้ว แต่บางส่วนก็ยังไม่เกิดขึ้น
 
พุทธทำนายข้อ ๑๔  ๑๕ และ ๑๖ ผมขอยกยอดเอาไว้ต่อบันทึกหน้านะครับ เพราะบันทึกนี้ก็ยาวจนจะอ่านไม่ไหวแล้วครับ

หมายเลขบันทึก: 104205เขียนเมื่อ 18 มิถุนายน 2007 09:52 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน 2012 10:42 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

สวัสดีครับอาจารย์

ผมขออนุญาตแสดงความเห็นในประเด็นนี้ ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับปัญหาในปัจจุบันว่า แต่ละยุคของสังคมที่ผ่านอาจเป็นผลกรรมของประเทศและผลกรรมของคนๆนั้นเอง ที่จะต้องมาจบชีวิตลงพร้อมๆกันในวันเวลานั้นๆ หรือไม่ก็ต้องรับผลกรรมนั้นแต่เพียงบางกลุ่ม บางคนเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง ทรัพย์สิน หรืออย่างประเด็นที่อาจารย์ได้หยิบยกมาว่า

"อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น คนดี มีความรู้ดี มีสติปัญญาดี มีความรอบรู้ มีความฉลาด มีความสามารถ มีทั้งพระและฆราวาส จะไม่ได้รับความยกย่องเชิดชูในสังคม จะถูกขัดขวางจากกลุ่มคนพาลสันดานชั่วอยู่ตลอดเวลา" ....อาจเป็นผลกรรมของคนนั้นที่ทำมา หากส่งผลต่อเราด้วย ก็เป็นไปได้ว่าเราเคยทำกรรมนั้นมาด้วยเช่นกันแต่ที่กระทบไม่มาก คงเป็นเพียงเศษกรรม อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นธรรมะอันหนึ่งที่แสดงให้เราเห็น และเป็นโจทย์ให้ผู้หวังเข้าถึงฝั่งฝันต้องก้าวผ่านไปให้ได้ ซึ่งพระท่านว่าไว้ว่าโลกธรรม 8 ก็จัดว่าเป็นเวทนา ซึ่งเป็น 1 ใน 4 ของสติปัฏฐานทั้ง 4

ขอบพระคุณมากครับ

สวัสดีครับคุณ
P

ผมก็มีความเชื่อเรื่องกฏแห่งกรรมเช่นเดียวกับคุณข้ามสีทันดรครับ 

คนดีหลายๆคนอาจจะมีกรรมที่ต้องชดใช้ในช่วงเวลานี้

ประเทศไทยของเราก็เช่นกัน เหตุการณ์ความไม่สงบใน ๓ จังหวัดภาคใต้ คงจะเป็นหนี้กรรมที่บ้านเมืองต้องชดใช้ และผ่านพ้นด้วยความทุกข์ยาก ลำบากแสนเข็ญ

ผู้ที่มีการเจริญสติ มีปัญญา คงเห็นความทุกข์ยากทั้งหลายทั้งปวงเป็นเพียงสภาวะธรรมที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เท่านั้นเองครับ

สวัสดีค่ะ

อ่านแล้วไม่ค่อยสบายใจค่ะ

แต่อธรรมจะชนะธรรมะหรือคะ

สวัสดีครับคุณ
P

ตอนนี้มาได้ครึ่งทางของพุทธศาสนาตามคำทำนายของพระพุทธองค์แล้วล่ะครับ 

ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนมีวัฏจักร เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นธรรมดาครับ

เมื่อเสื่อมจนถึงที่สุดแล้ว ก็จะเริ่มวัฏจักรใหม่ ผู้มีบุญส่วนใหญ่จะมาเกิดในช่วงนี้แหละครับ

ผมมีความเชื่อว่าท้ายที่สุดธรรมะย่อมชนะอธรรมครับ

สวัสดีค่ะ อ.ศิริศักดิ์

อ่านข้อ ๑๐-๑๓ แล้วก็เห็นเค้าของสิ่งที่เกิดขึ้นบ้างแล้วนะคะ

ข้อ ๑๒ กับ ๑๓ เนี่ยผกผันกันนะคะ ศิลาลอยน้ำ แต่น้ำเต้ากลวงกลับจมน้ำ ก็เหมือนกับอะไรๆ สมัยนี้ที่เราคิดว่าน่าจะเป็นตามกฎธรรมชาติกลับไม่เป็น เพราะปนเปื้อนไปด้วยกิเลสความต้องการของมนุษย์ที่คิดจะฝืนธรรมชาติเกินไปอยู่เสมอ.. คงจะลืมกันไปว่าธรรมชาตินั้นฝีนไม่ได้...

ยังไงๆ ไตรลักษณ์ก็ยังมีอยู่เสมอไปใช่ไหมคะอาจารย์.. ขอบคุณอาจารย์ที่ทำให้ได้แง่คิดดีๆ เสมอนะคะ

สวัสดีครับอาจารย์กมลวัลย์

เนื้อหาข้อ ๑๒ กับ ๑๓ ถ้าเป็นภาษาคณิตศาสตร์ก็กล่าวได้ว่าเป็นบทกลับของซึ่งกันและกันล่ะครับ

การฝืนธรรมชาติเป็นไปตามความต้องการของกิเลส ต้องใช้ความพยายามและพลังงานมหาศาลจึงจะเกิดผลสำเร็จ  และถึงแม้จะประสบผลสำเร็จ แต่ก็จะเป็นทุกข์อย่างยิ่งครับ

ไตรลักษณ์เป็นกฎที่มีมาพร้อมกับการกำเนิดจักรวาลโน่นแหละครับ  พระพุทธเจ้าทรงสังเกตเห็นและทรงรู้แจ้งในกฎนี้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในจักรวาลของเรานี้(ยกเว้นพระอรหันต์นะครับ) ไม่ว่าจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตย่อมจะเป็นไปตามวัฏจักรที่มี ๓ ลักษณะ คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป

ค้นพบ “หนังสืออินตก-เทพทำนาย”โดยย่อ

 

หนังสือใบลานสีได้ถูกตกมาในวัดแห่งหนึ่ง ในจังหวัดอัตตะบือ (ประเทศลาว)  ข้าพเจ้าได้รับรู้จากพระอาจารย์ผู้ทรงศีลองค์หนึ่งเผยแผ่ให้เลยเกิดความ ศรัทธาเสียสละทรัพย์ พิมพ์แจกจ่ายมายังพี่น้องชาวพุทธทั้งหลาย เพื่อเป็นกุศล และเพื่อพิจารณาญาณด้วยตนเองถึงเหตุการณ์มหัตภัยของโลกยุคโลกาวิวัฒน์ ซึ่งจะบังเกิดขึ้นตามพุทธทำนายไว้ ดังนี้ โลชังชม โทโพโส อินโตกรุณา พระอินทร์ พรหม ยมราช ได้สั่งไว้ว่า “ถ้าบุคคลใดได้รู้แล้ว จงรีบบอกให้คนอื่นฟังหรือพิมพ์แจกตามกำลังศรัทธา จะเกิดมหากุศลช่วยให้ท่านได้หลุดพ้นจากมหันตภัยพิบัติทั้งปวง  ถ้าบุคคลจะลงมาเกิดพร้อมทั้งหนังสือใบลานฉบับนี้ ถ้าใครไม่มีไว้ในบ้านเรือนจะมีภูติผีปีศาจเข้ามาทำลายอย่างแน่แท้” ในปีจอถึงปีกุน เมื่อเดือนหงายจะมีงูพิษอยู่บนศีรษะ ฉกกัดให้ถึงตาย และผู้คนทั้งหลายจะเกิดความเดือดร้อนหลายประการทุกข์ยากฮ้อน   ย้อนศึกสงครามบ่แล้วทุกข์ยากฮ้อน   ย้อนน้ำและไฟทุกข์ยากฮ้อน   ย้อนบ่มิไผสิเบิงไผทุกข์ยากฮ้อน   ย้อนอึดข้าวปลาอาหารทุกข์ยากฮ้อน   ย้อนผัว-บ่เห็นหน้ากันทุกข์ยากฮ้อน   ย้อนมีคนตายตามทุ่งนาทุกข์ยากฮ้อน   ย้อนบ่มีผู้เฒ่าทุกข์ยากฮ้อน   ย้อนไปต่างประเทศบ่สะดวกทุกข์ยากฮ้อน   ย้อนนอนบ่หลับในปีจอนี้ ในเมืองจันทร์จะมีฤษีองค์ทองคำ สิกขาลาเพศออกมาเป็นพ่อค้า ในปีจอขึ้น 8 ค่ำ ห้ามบ่ให้ตักน้ำอาบ น้ำกิน ตามห้วยหนองคลองบึงหลังพระอาทิตย์ตกดิน (ก่อนค่ำ) พระยายมราชจะนำเอายาพิษพ่นใส่โลกมนุษย์ในปีจอ เมืองกรุงเทพ จะแตกพันทลายตอนเวลาไก่ขัน พระแก้วมรกต หัวเชียงเมี้ยงข้าวเม็ดใหญ่จะกลับสู่เวียงจันทร์ นี่คือ พระคาถาขององค์อินทร์ พรหม ยมราช ได้เขียนไว้ในใบลาน จงเก็บรักษาไว้ให้ดีเพื่อช่วยหลุดพ้นจากภัยพิบัติได้ในยามเกิดเหตุการณ์ มหันตภัย พระคาถาเขียนไว้ว่า “ ปะโต เมตัง ประระชีมินัง สุคะโต จุติ จิตตะ เมตตะ นินะมัง สุคะโต จุติ ” พระคาถานี้เขียนลงใบลาน แผ่นทอง หรือ แผ่นผ้า ก็ดี ติดไว้ที่ประตูบ้าน หรือมีไว้ในรถ หรือโพกศีรษะ ยามเกิดเหตุการณ์จะช่วยให้หลุดพ้นจากภัยอันตรายในกาลละเวลานี้ เทพเจ้าเหล่าเทวดาผู้รักษาคุ้มครองโลกได้กราบทูลต่อพระอินทร์ว่า มนุษย์โลกทำกุศลเพียง 3 ส่วน และทำบาปกรรมถึง 7 ส่วน เมื่อเป็นเช่นนี้ องอินทร์จะสั่งลงโทษผู้ใจบาป ถึง 9 ข้อ นับตั้งแต่ปีจอ ถึง ปีกุน ดังนี้1)     จะให้เกิดพายุลมแรง แผ่นดินไหว2)     จะให้เกิดอัคคีภัย3)     จะเกิดอุทกภัย4)     จะเกิดฟ้าผ่า5)     จะเกิดร้อนเกินไป หนาวเกินไป6)     จะเกิดสารพิษต่างๆ7)     จะเกิดกาฬโรคต่างๆ8)     จะเกิดข้าวยากหมากแพง9)     จะเกิดฆาตพยาบาทเบียดเบียนกันเองมหันตภัย 9 อย่างนี้ จะหลุดพ้นได้โดยเฉพาะผู้มีบุญ คนที่ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น รู้แล้วจงบอกต่อกันไปให้รีบทำความดีกันมากๆ ถ้าเลยปีจอ ปีกุน ไปแล้วทุกคนพร้อม ลูกหลานจะได้รับความสุข สบายใจทุกคน ให้ทุกคนเคร่งครัดในศีล 5นอกจากหนังสืออินตก ที่ได้กล่าวมาแล้วยังมีพระผู้ทรงศีลอีกองค์หนึ่ง ได้พบเห็นคำสอนที่จารึกไว้ในแผ่นศิลาที่พึ่งพบในภูเขาแห่งหนึ่งที่พระ พุทธเจ้าได้เดินธุดงค์วิปัสสนากรรมฐานผ่านไป พระผู้ทรงศีลกล่าวว่า พี่น้องทั้งหลายถ้าไม่เชื่อก็สุดแล้วแต่ดวงจิต เพราะถึงเวลาแล้วที่สวรรค์จะไม่มีความลับ ถ้าท่านเชื่อก็เป็นกุศล รู้เพียงเท่านี้ ข้าพเจ้าจึงขอบอกเล่าสู่ท่านฟัง ตามคำกล่าวของพระผู้ทรงศีลรูปนี้ว่า ในแผ่นศิลาได้เขียนไว้โดยพระมหากัสสะปะว่า ในปีระกา ปีจอ ปีกุน เดือน 7-8 จะเกิดเหตุการณ์ร้ายตามถนนหนทาง ในเดือน 8-9 คนใจบาปจะถูกล้างผลาญให้หมดไป มีบ้านแต่ไม่มีคนอยู่ มีข้าวแต่ไม่มีคนกิน มีทางแต่ไม่มีคนเดินสุดท้าย พระผู้ทรงศีลได้กล่าวย้ำถึงความศักดิ์สิทธิ์ของหนังสืออินทร์ตก เพิ่มเติมว่าถ้าท่านผู้เคารพบูชาหรือบนว่าจะบอกแก่ผู้อื่นหรือพิมพ์แจกจ่าย ให้สาธุชนทั้งหลายได้รับรู้แล้วท่านปรารถนาสิ่งใดจะได้สมใจนึก จะปราศจากภัยพิบัติทั้งปวงตลอดไป ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ พระพุทธเจ้าทำนาย           ออกจากศิลาจารึกในมหาวิหารเจตมาหเชตะวัน ณ สวนหฤคทายวัน ประเทศอินเดีย โดยคณะทูตไทยที่อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ เมื่อปี พ.ศ. 2485  ตามคำแปลเป็นภาษาไทย ว่าดังนี้          สาธุ อะระหังตา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระเมตตากรุณาสรรพสัตว์ทั่วโลก ที่เกิดมาแล้วแต่ลำบากทั่วหน้า ทุกชาติ ทุกศาสนาตามธรรมชาติ เมื่ออาตมาเข้านิพพานไปแล้วครบห้าพันปีเป็นที่สุด โลกจะหมุนไปใกล้จะถึงจำนวนที่ ตถาคตทำนายไว้สองพันห้าร้อยปีมนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติเสียครั้ง หนึ่ง ในระยะ 30 ปีสิ่งที่สาธุชนไม่เคยเจอจะได้เห็น ไม่เคยพบจะได้พบ ยักษ์หินที่ถูกสาบให้หลับกลับตื่นขึ้นมาอาละวาดยิ่งนัก ใกล้กับ พ.ศ. 2550 ยิ่งทวีกันใหญ่ขึ้นทุกทิวาราตรี มนุษย์นอกศาสนาจะรบราฆ่าฟันกันจนถึงเลือดนองเต็มพื้นดิน พื้นน้ำจะลุกลามเผามนุษย์ไม่ขาดระยะ ต่างฝ่ายต่างทำลายเหมือนยักษ์ กระหายเลือด แผ่นดินจะเป็นเปลวไฟจะตายไปอย่างละครึ่งหนึ่งจึงจะล้มเลิก ต่างฝ่ายต่างหมดกำลังด้วยกัน ตามวิสัยยักษ์ร้ายนอกศาสนาซึ่งถือกำเนิดจากป่า อำมหิต ส่วนพุทธศาสนิกชน ผู้ทำแต่บุญเดินตามทางตถาคตสามารถระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านใดได้บูชาพระโพธิสัตว์ ก็จะรับภัยพิบัติเบาบาง แต่หนีภัยธรรมชาติไม่พ้น ไฟจะลุกลามมาทางทิศตะวันออก ไหม้วัดวาอาราม สมณะชีพราหมณ์จะอดอยากยากเข็น ลูกไฟจะตกจากฟ้า เหล็กกล้าจะผุดจากน้ำ ข้าวสารจะขาดแคลน ทุกแคว้นจะอดอยาก พลูหมากจะหมดเปลือง สีเหลืองจะชนะ พระยังอยู่คู่เมืองอีกต่อไป สีขาวจะแพ้ภัยในที่สุด ครุฑจะบินกลับฐาน คนจะกลับบำรุงพระพุทธเจ้าว่าดังนี้  “ชา ตะ มะ สะ ละ วา”  พระพุทธชินลิตนี้ ท่านให้เขียนใส่กระดาษ หรือผ้าขาว ติดไว้หน้าบ้าน หรือหัวนอน ดังนี้ จะมีอายุยืนยาว จะทันผู้มีบุญชื่อ พระยาธรรมิกราชา เมื่อแรกสถิตอยู่เขตอยุธยา บัดนี้ท่านเสด็จอยู่ลานช้าง (ภาคอีสานในปัจจุบัน) พระธรรมิกราชา เข้ามาปีกุน เดือน 11 เป็นเที่ยงแท้นักหนา ท่านเสด็จมาในปีระกา แรม 5 ค่ำ มหากษัตริย์มาทางทิศตะวันตก สมณะชีพราหมณ์ตามมาพอประมาณได้ 76,400 รูป ทั่วอาณาจักร สมเด็จพระบรมนักปราชญ์ได้ประกาศคาถาว่าดังนี้ “นะสัจจังทะ คะยังมะสำคำปัง”คอยดูในปีมะโรง คนจะเดินโก่งโคง คลาน ผู้ใดอยากพบผู้มีบุญชื่อ พระยาธรรมิกราชาให้ภาวนา ให้หมั่นรักษาศีล สดับรับฟังพระธรรมเทศนาคอยดูในปีมะเส็ง ตลิ่งจะพัง มหาสมุทรจะชอกช้ำ อย่าเที่ยวไปกลางแจ้ง ท่านเข้ามาปีกุน เดือน 8 เป็นเที่ยงแท้ผู้ใดไม่เชื่อจะรับอันตรายคอยดูในปีจอ คนจะพ้นภัย สะโรนะกา โททายะโม พุทธตะยะ ภาวนาทุกค่ำเช้า ผู้นั้นจะมีอายุยืนนาน จะได้เห็นพระธรรมิกราช (พระโพธิสัตว์ศรีอริยเมตไตรย์)  ในปีกุน ท่านจะเข้ามาอีก ถ้าไม่เห็นหนังสือบ้านใด ผู้นั้นจะได้รับอันตราย รู้แล้วให้บอกต่อกันด้วยคำเตือน โลกมนุษย์กำลังจะเข้าสู่กาลียุค จะทำให้เกิดภัยธรรมชาติจากดิน น้ำ ไฟ ลม จะเกิดมหาสงครามโลกครั้งที่สามตามมา มนุษย์จะตายไปกว่าครึ่งสำหรับประเทศไทย จะเริ่มเกิดตั้งแต่ปี 2550 คาดว่าจะได้รับภัยทางน้ำและไฟ โดยเฉพาะจังหวัดที่ติดชายทะเลและกรุงเทพฯ แผ่นดินจะยุบตัวคลื่นน้ำจะพัดเข้าถล่มความสูง 200 เมตร มนุษย์จะล้มตายมากกว่าครึ่ง น้ำจะเข้าช่องแคบสระบุรี และตอนล่างของโคราชบางส่วน ภัยพิบัติ จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ สุดท้ายประเทศไทยจะเหลือประชากรประมาณ 30%ส่วนประเทศอื่นทั่วโลกจะเหลือเพียง 10% เท่านั้น บุคคลที่รอดชีวิตส่วนมากก็สูญเสียสติสัมปชัญญะ ไม่ปลอดภัยเหมือนเมืองที่นับถือศาสนาพุทธ เพราะไม่เข้าใจบำเพ็ญฌานภาวนา ฉะนั้น อย่าหลงใหลในทรัพย์สินของตนเองให้มากนัก เพราะเมื่อเข้ายุคศิวิไล เงิน ทอง จะไม่มี ค่าเลย เพราะมนุษย์ยุคนั้นวัดกันที่ความดี ศีลธรรม บุญกุศลเท่านั้น  ปีมะโรง พ.ศ. 2555  ปีมะเส็ง พ.ศ. 2556  ปีระกา พ.ศ. 2560  ปีจอ พ.ศ. 2561  ปีกุน พ.ศ. 2562 คำทำนายสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)

รัชกาลที่ 1      ทายว่า   มหากาฬ   (ทำลายเพื่อน พี่น้อง)

รัชกาลที่ 2      ทายว่า   ฌานยักษ์   (ชำนาญเวทมนต์)

รัชกาลที่ 3      ทายว่า   รักมิตร   (มีการค้าขายกับต่างชาติมากมาย)

รัชกาลที่ 4      ทายว่า   สนิทคำ   (ออกบวช)

รัชกาลที่ 5      ทายว่า   จำแขนขาด   (คือต้องยอมเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงและเขมร เพื่อป้องกันอธิปไตย)

รัชกาลที่ 6      ทายว่า   ราชโจร   (เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดกลุ่มโจรมากมาย  มีการตั้งกองเสือป่าครั้งแรกของไทย)

รัชกาลที่ 7      ทายว่า   ชนร้อนทุกข์   (เกิดการเดินขบวนเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย)

รัชกาลที่ 8      ทายว่า   ยุคทมิฬ   (พระเจ้าแผ่นดินถูกลอบปลงพระชนม์)

รัชกาลที่ 9      ทายว่า   ถิ่นกาขาว   (มีฝรั่งเข้ามามากมาย นำเงินมาซื้อประเทศไทย

เกิดวิกฤตการเงิน)

รัชกาลที่ 10    ทายว่า   ชาวศิวิไล   (จะเหลือเฉพาะผู้มีบุญเท่านั้นที่รอด คอยเป็นยุค  ของพระศรีอริยเมตไตรย์) 

พระคาถาบูชาพ่อ ร.5(ธูป 9 ดอก ตั้งนะโม 3 จบ) พระสยามมิน ทะโร วะโร อัตตัง    พุทธะสังมิ อิติ อรหังวะรังพุทโธ นะโมพุทธายะ   ปิโยเทวา มนุสานังปิโย พรหมานะ มุตตะโม   ปินัน หริยัง นะมามิหัง          

ข้าพเจ้าได้พบหนังสือแผ่นนี้เข้าด้วยความบังเอิญ  เมื่ออ่านดูแล้วเกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงได้พิมพ์แจกเป็นกุศลทาน ซึ่งในใจความหนังสือมีอยู่ว่า  วันหนึ่งในโบสถ์ ของวัดศิริประสุประตินาถ ได้มีหลวงพ่อองค์หนึ่งได้นั่งสวดมนต์ อยู่ในโบสถ์ของวัด ในเวลานั้นมีงูตัวหนึ่งได้เลื้อยออกมาจากหน้าพระพุทธรูปในโบสถ์ หลวงพ่อได้เห็นงูตัวนั้นก็เกิดอาการกลัว หลังจากนั้นงูได้กลายเป็นมนุษย์ในรูปของพราหมณ์ แล้วพูดกับหลวงพ่อว่า “เจ้าไม่ต้องกลัวและตกใจ เจ้าจงฟังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าคือพญานาคราชและได้จุติ ณ วัดแห่งหนึ่ง เพื่อบำบัดปัดเป่าความชั่วร้ายและคนบาป คนที่ทำกรรมไว้มากจะให้พินาศหายไปจากโลกนี้ และเจ้าจงประกาศให้คนได้รู้ทั่วว่า ผู้ใดนำเรื่องของข้าพเจ้าไปพิมพ์แจ้ง 1,000 ใบ ภายใน 15-30 วัน มันผู้นั้นจะมีโชคลาภ มีความสุขความเจริญ คิดสิ่งใดสมความปรารถนาทุกประการ และผู้ใดได้รู้ได้อ่านอย่าคิดว่าเป็นการหลอกลวงหรือไม่เชื่อ และผู้ใดคิดจะพิมพ์ก็ต้องพิมพ์แจ้ง ภายใน 15-30 วัน อย่าคิดพิมพ์ผัดวันประกันพรุ่ง หรือ อ่านแล้วฉีกทิ้ง มันผู้นั้นจะมีเรื่องและภัยพิบัติเกิดขึ้นต่อผู้นั้น อ่านแล้วอย่าทิ้งให้พิมพ์แจกหรือแจกต่อๆ ไป หรือเก็บไว้สวดมนต์เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว”

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท