ขอ break เรื่อง Axial Age ไว้พักใหญ่ๆเลยนะคะ เพราะกำลังเขียน thesis บทสุดท้ายอยู่ พลังไม่พอแปลเรื่อง Axial Age ค่ะ : P
แต่ว่างมากๆเมื่อไหร่กลับมาแปลแน่ค่ะ
วันนี้มาบันทึกสั้นๆ
ไปอ่านเจอมาจาก Kyoto Journal ฉบับที่ 57 ปี 2004 หน้า 77
- เขียนโดย Uchida Tatsuru แปลโดย Kawasaki Takeshi
แปลอ้อมๆได้ว่า
*** งานนี้เปิดให้แสดงความเห็นกันเต็มที่เลยค่ะ : ) ***
สวัสดีครับอาจารย์มัทนา
มีบางแง่มุมจะร่วมแชร์ครับ จากชีวิตจริงที่พบเห็นมา แต่ไม่ใช่ละครชีวิตนะคร๊าบ ฮ่าๆๆ
ขอให้เขียน Thesis เสร็จไวๆนะครับ...ขอบคุณครับ
ผมว่า...สำหรับเรื่องที่เรารู้จริง เราสามารถพูดให้ชัดเจน ตรงประเด็นไปได้เลย...
แต่ในบางเรื่องที่เราไม่แน่ใจเราก็เลือกที่จะพูดกว้าง ๆ ให้คลอบคลุมไว้ก่อน...
แต่ผมไม่เห็นด้วยกับการพูดให้คลุมเคลือครับ เพราะอาจจะเกิดการตีความกันไปคนละทิศละทางได้ครับ...
ขอบคุณมากครับ...
เห็นด้วยกับ Mr direct เกือบทุกประการ ครับ ( เอ คล้ายพวก กาฝาก ยังไงชอบกล อาศัย เกาะ comment คนอื่น อิอิ )
ที่กลัวพูดผิด ก็เพราะไม่รู้ ถ้าไม่รู้ก็มีโอกาส พูด คลุมๆ เครือๆ ได้บ้าง เป็นธรมดา ( แต่ไม่พูดซะยังดีกว่า ) หรือไม่รู้ก็บอกไม่รู้ ไปเลย ถ้ารู้จริง ก็ฟันธงได้เลย
ว่าแต่ว่า พวกรู้จริง แต่ยังพูด กำๆกวม ๆ อยู่อีก นี่สิน่าคิด
สวัสดีค่ะคุณมัท
เบิร์ดเป็นพวกขวานผ่าซาก...เลยไม่ค่อยมีคลุมเครือ ( เพราะมักจะเลือกบอกว่าไม่ทราบหรือไม่พูดมากกว่า อิ อิ )..และมักอึดอัดเวลาคนพูดคลุมเครือค่ะ ^ ^
มากอดทักทายเพราะคิดถึงมากๆ...ขอให้ Thesis สำเร็จเสร็จเรียบร้อยลงด้วยดีทุกประการนะคะ กอดแน่นๆอีกทีค่ะ
คุณข้ามสีทันดร, Mr.Direct, คุณหมอจิ้น, คุณเบิร์ด:
มาขอเกาะความเห็นคนอื่นด้วยคนค่ะ ฮ่ะฮะ เล่นกันง่ายๆแบบนี้
มัทว่าเรื่องนี้มันอยู่ที่ส่วนแรกของประโยคค่ะ
คือ อย่าคิดว่าจะตัวเองจะต้องพูดถูกเสมอ อย่ากลัวพูดผิด กลัวว่าสิ่งที่เราพูดจะทำร้ายจิตใจคนฟังได้ แต่อย่ากลัวคนฟังมาประเมินตัวเรา
ถ้าไม่รู้ก็บอกไม่รู้ หรือไม่ก็เงียบเลยดีที่สุด
แต่ไอ้การที่จะพูดชัดหรือกำกวมนี่ มัทว่าแล้วแต่คนฟังและเรื่องที่เรากำลังพูดค่ะ ว่าอยากให้คนฟังไปคิดต่อเองบ้าง (เช่นการสอนแบบzen) หรือ เรากำลังอธิบายอะไรอยากให้เค้าเข้าใจ
มัทเองเป็นคนพูดตรง ตรงมากจนคิดว่าอาจจะต้องหััดเงียบไว่้บ้าง : )
สวัสดี หนูมัท
หายเงียบไปนาน จนคิดถึง(คลุมเครือรึป่าว?)
อาจารย์จะช่วยแผ่เมตตาให้จะได้มีพลังทำธีสิส
อย่าหายเงียบไปนานจนแควนคลับบ่นก็แล้วกัน
เอาใจช่วยครับ :)
สวัสดีค่ะ อ. พิชัย
ขอบคุณมากๆเลยค่ะ ที่อ.จะแผ่เมตตาให้หนู : )
มัทหายไปนานแต่ธีสิส ก้าวหน้าขึ้นมากค่ะ ตอนนี้โค้งสุดท้ายแล้ว ต้องใช้พลังมาก
แต่มัทก็ยังพอจะเขียนบันทึกที่ "Philosophiæ Doctor" อยู่บ้างนะคะ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเรียน วิชาการ และ ชีวิตประจำวันที่นี่ ส่วนบันทึกวงปีนี่จะเขียนเรื่องกว้างๆเกี่ยวกับแง่คิดเรื่องชีวิต
[เขียนไปเขียนมาเริ่มงงๆเหมือนกันค่ะ : P แยกกันไม่ค่อยออก หลายๆครั้งเรื่องที่อยากบันทึกมันก็เลื่อมๆกัน]
เชิญอาจารย์ไปแวะอ่านยามว่างนะคะ
ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
สวัสดีครับ
ผมมีความคิดคล้ายกับ อ.มัทนานะครับ ถ้าไม่รู้เลย ผมก็คงจะเงียบๆ หรือบอกว่าไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ
มีบางกรณี ที่เรารู้หรือมีความเห็นแต่การพูดออกไปก็กลัวว่าคนฟังจะเสียใจก็
คงจะพูดพอเป็นแนวทางที่เขาจะได้ประโยชน์ ส่วนเรื่อง
ไหนเ็ป็นเพียงความเห็น ก็จะบอกว่าในความคิดของผมน่าจะเป็นอย่างไร
papanui: ขอบคุณคุณหมอค่ะที่แวะมาเยี่ยมเยียน
น้องว่าเป็นการสะท้อนสังคมของญี่ปุ่นไ้ด้ดีทีเดียว แต่เริ่มเดิมทีอาจจะเป็นสังคมที่มีความคำนึงถึงจิตใจผู้อื่น เช่น แขกถอดรองเท้าเข้าบ้าน เจ้าบ้านยังต้องกลับหัวรองเท้าไว้ให้ เวลาแขกกลับจะได้ใส่รองเท้าสบาย ฯลฯ ทำกันมาจนเป็นธรรมเนียม แต่ระยะหลังๆ บางคนไม่ได้คิดหรอกว่าการกลับรองเท้าเป็นการทำคำนึงถึงความสะดวกสบายของแขกผู้มาเยือน รู้แต่ว่าถ้าไม่ทำอาจจะถูกมองได้ว่าทำอะไรผิดธรรมเนียมปฏิบัติ กลายเป็นโดนคนอื่นมองไม่ดี
เรื่องคำพูดก็ออกมาในแง่เดียวกัน คนญี่ปุ่นก็เลือกที่จะไม่พูดในสิ่งที่ตัวเองคิด ในขณะที่อาจจะกลัวทำให้คนอื่นลำบากใจ น้องว่าความกลัวในการถูกคนอื่นมองไม่ดีมีมากกว่า คนที่นี่ก็เลยไม่ค่อยมานั่ง discuss อะไร หรือถกอะไรกันเป็นเรื่องเป็นราว ก็ยอมจะพูดอะไรที่ควรจะพูดไปตามธรรมเนียม (ที่นี่เรียกว่า ทะเตะมาเอะ (Tatemae) แทนที่จะพูดอะไรที่ตัวเองคิดจริงๆ (ฮองเนะ - Honne)
อาจารย์คนญี่ปุ่นบางคนยังเคยมาบ่นให้นักเรียนต่างชาติฟังเลย ว่าขนาดคนญี่ปุ่นเองบางทียังดูกันไม่ออกเลยว่าสุดท้ายแล้วคนที่ตัวเองคุยด้วยเค้าคิดยังไง ไม่รู้ว่าไอ้ที่พูดนี่รู้สึกยังงั้นจริงๆรึเปล่า
ไอ้แบบคลุมเคลือก็มีี...
เ่ช่น..
คำถาม: "พรุ่งนี้ไปงานปาร์ตี้ที่บ้านผมมั้ยครับ"
คำตอบที่ 1: "เอ่อ... ไปค่ะ" (หมายความว่า "อาจจะ"
คำตอบที่ 2: "เอ่อ... อาจจะไปค่ะ" (หมายความว่า "ไม่ไป")
จะไม่มีคำตอบที่ 3 ว่า "เอ่อ.. ไม่ไปค่ะ" <-- อันนี้เรียกว่าเสียมารยาท
เป็นเราก็บอกมาเลยจะมาไม่มา.. ไม่มาจะได้ไม่ต้องทำเผื่อ เน๊อะ =P
ผมเขียนคอมเม้นแล้ว แต่เอามาแปะลงไม่ได้ ไม่รู้เป็นอะไรครับ
พี่ว่ามีสองประเด็นนะมัท
ประเด็นแรกคือคนที่พูดมากๆ มักจะเป็นคนที่รู้อะไรครึ่งๆ กลางๆ (อย่างเช่นข้าพเจ้าเองเป็นต้น) แล้วคำพูดก็จะคลุมเครือ เพราะมันไม่แจ้งในสิ่งที่ตนรู้ไง
เหมือนที่โก้วเล้งบอกไว้ว่า ในน้ำเต้าที่มีน้ำบรรจุเต็ม กับน้ำเต้าที่ไม่มีน้ำเลย เขย่ายังไงก็ไม่มีเสียง จะมีก็แต่น้ำเต้าที่มีน้ำพร่องเท่านั้นที่เขย่าแล้วมีเสียง
แต่การ 'say only right thing' ก็มีศิลปะในการพูดเหมือนกันนะ
จากหนังสือ พุทธวิธีในการสอน ของพระพรหมคุณาภรณ์
สิ่งใดไม่จริง ไม่เกิดประโยชน์ พระพุทธองค์ไม่ตรัส
สิ่งใดจริง ไม่เกิดประโยชน์ พระพุทธองค์ก็ไม่ตรัส
สิ่งใดจริง เกิดประโยชน์ พระพุทธองค์ทรงเลือกกาลตรัส
อีกประเด็นคือประเด็นญี่ปุ่นที่น้องใหม่ยกมาก็ ซึ่งน่าสนใจมาก
เพราะวัฒนธรรมเขาอยู่บนฐานที่ว่ายอมอ้อมค้อมคลุมเครือกับการพูด แม้จะเสียเวลาไปบ้าง แต่การให้เกียรติกันสำคัญกว่า หรือแม้กระทั่งเขามีวิธีการสื่อสารวิธีอื่นๆ ประกอบกับคำพูดที่ทำให้เรารับรู้ว่าเขาต้องการสื่ออะไรที่แท้จริง
พี่นึกถึงคำสอนของพระอาจารย์วัดป่า และคำสอนของอาจารย์เซน ท่านเหล่านี้เป็นผู้รู้อย่างยิ่ง แต่มีลีลาการสอนที่ไม่บอกตรงๆ บอกแบบคลุมเครือให้ไปคิดต่อเอาเอง
หรือกระทั่ง บทสนทนาในนิยายกำลังภายในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะที่เขียนโดยกิมย้ง มีบทสนทนาที่เป็นศิลปะนะ คลุมเครือ อ้อมค้อม แต่ใช้คลี่คลายสถานการณ์ฉุกเฉินได้ หรือแม้แต่ใช้หลอกด่ากันก็ยังได้ และเป็นเสน่ห์อย่างยิ่งสำหรับการอ่านงานของกิมย้ง
สรุปว่า พี่เห็นด้วยทางเดียวว่า คนที่กลัวพูดผิดมักจะพูดอะไรๆ ให้คลุมเครือ แต่ในทางกลับ คนที่พูดอะไรๆ ให้คลุมเครือ อาจจะไม่ใช่คนที่กลัวพูดผิดก็ได้ แต่ตั้งใจให้คลุมเครือเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่างของการสื่อสาร
ไม่รู้ว่าที่พี่เขียนเนี่ย คลุมเครือรึเปล่า :)
คุนเคยอยากได้อะไรบางอย่างมากๆมั้ย
อยากได้ พยายามเเล้วเเต่ก็ไม่สำเร็จ...เหนื่อยใจ
ท้อเเท้เพราะทำไม่ได้...ลองดูสิ ลองเชื้อในพระเจ้าภวานา
ขอท่านดู..เเล้วคุณจะได้รู้ว่ารัท่านรักเเละเอ็ดดูคุณขนาดไหนเหมือนที่
ท่านได้ประทานให้กับฉันคนบาปคนหนึ่ง...
คุณ nujme,
มัทเคารพทุกศาสนาค่ะ เคยมีคุณยายฝรั่งสอนไว้ว่า
เวลาอยากได้อะไรมากๆ แต่ภาวนาขอแล้วก็ไม่สำเร็จ
ไม่ได้แปลว่าให้หมดศรัทธา...หากแต่ว่าท่านตอบมาแล้ว...
ท่านตอบว่า ไม่ให้
ผมชอบเรื่องแบบนี้มากเลยครับถ้าเป็นจริงผมจะจำและผมจะอ่านต่อไปเรื่อยๆครับผมอ่านหมดแล้วครับแล้วเขียนต่อตอนไหนครับจะรออ่านครับผมเคยอ่านอีกแบบครับคือที่ชาวอารยันแยกเป็น2ฝ่ายไปทางยุโรปพวกหนึ่งและมาทางอินเดียปัจจุบันพวกหนึ่งคือมาแย่งพวกชนพื้นเมืองคือพวกทมิฬหรือชาวดราวิเดียนเนื่องมาจากทุ่งหญ้าที่เคยอุดมสมบูรณ์กลางทวีปแห้งแล้งลง ชาวอารยันจึงเริ่มอพยพ
แผ่นดินอันเขียวชอุ่มเริ่มกลายเป็นทะเลทราย บริเวณนี้ถูกบันทึกใหม่
โดยนักแผนที่ชาวฝรั่งยุคหลังว่า ไซบีเรียเนื่องมาจากแผนดินใหญ่เคลือนห่างจากกัน และถ้าเป็นไปได้ผมอยากย้อนเวลาไปดูเลยครับขอบคุณมากครับ