คำแนะนำอันศักดิ์สิทธิ์


เคยตั้งคำถามกับตัวเองมาหลายครั้ง ว่าคำแนะนำที่เราเคยพ่นออกมานั้น น่าเชื่อถือเพียงใด ลองมาคิดตามกันดูนะครับ
บันทึกนี้เขียนขึ้นในวันที่  11 มิถุนายน 2550 เวลา 19.22 น. อันเนื่องมาจากความเป็นจระเข้ขวางคลองของตัวเอง ที่ชอบคิดเรื่อยเปื่อยจนได้เรื่อง

                เรื่องมีอยู่ว่า ขณะที่ได้แนะนำคนไข้คนหนึ่งที่มาปรึกษาเรื่องปัสสาวะบ่อย หลังจากซักประวัติ ตรวจร่างกายอย่างละเอียด ตามมาตรฐานที่ได้รับการสอนจากหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต เมื่อถึงเวลาให้การรักษาด้วยน้ำลาย ซึ่งหมายถึงการแนะนำนั้น ผมก็บอกเขาว่า ควรดื่มน้ำไม่เกิน  2 ลิตรต่อวัน

                หลายคนอาจจะรู้สึกขัดกับความรู้สึก มันขัดกับการเรียนที่ผ่านมา (หรือแว่วมา) เราต้องกินน้ำมากๆไว้ไม่ใช่หรือ เป็นหวัดก็ต้องกินน้ำมากๆเพื่อระบายความร้อน ขับเสมหะ ทำนองนี้ แต่ทำไมหมอคนนี้จึงสั่งอย่างนี้ (หลายครั้งที่คำแนะนำ กลายเป็นคำสั่งในความรู้สึกของคนไข้)

                เคยตั้งคำถามกับตัวเองมาหลายครั้ง ว่าคำแนะนำที่เราเคยพ่นออกมานั้น น่าเชื่อถือเพียงใด ลองมาคิดตามกันดูนะครับ

1.       คุณป้าครับ คุณป้าควรดื่มนมทุกวันนะครับ ให้ได้ซักวันละ 2 แก้วครับ นมแก้วหนึ่งจะมีแคลเซี่ยมประมาณ 300 มิลลิกรรมนะครับ เอ๋...แล้ว 300 มิลลิกรรมคืออะไรหว่า กินนมแล้วไขมันขึ้น คุ้มกันไหมหนอ กระดูกแข็งแรงแต่หลอดเลือดสมองอุดตัน จะตายยังไงดี แล้วกิน 2 แก้ว ได้แคลเซี่ยม 600 มิลลิกรรมจริงเหรอ การดูดซึมในลำไส้มันดีทุกคนแน่นะ ฯลฯ

2.       คุณลุงควรออกกำลังกายทุกวันนะครับ ให้ได้วันละ 30 นาทีก็ดีเอ๋...แล้ววิ่งทุกวัน เข่าจะพังไหมหนอ อ้าว ไม่วิ่งก็ได้ เดิน เดิน สูดควันเสียของรถทุกวัน แล้วมันจะดีต่อสุขภาพได้อย่างไร ไหนจะถูกรถเกี่ยวไปอีก ยิ่งคุณป้าแก่ๆ เดินวันละ 30 นาที หรือไม่ก็เล่นไทเก๊ก แล้วมันจะเสี่ยงกับมดลูกหย่อนหรือเปล่า เอาเข้าไป

3.       ลดการกินกาแฟลงครับ เดี๋ยวกระดูกบาง เดี๋ยวฉี่บ่อยเอ๋...อ่านวารสารทางการแพทย์ มันก็ยังตีกันอยู่เลย วันก่อนบอกว่าการดื่มกาแฟ ทำให้มีความเสี่ยงต่อกระดูกผุ ก็ห้ามแม่ไปทีนึงแล้ว มาอีกวัน บอกว่าถ้าจะกินกาแฟ ควรกินที่มีคาแฟอีนนะ ให้ได้วันละ 2 แก้ว จะช่วยทำให้ตับแข็งแรง แล้วตกลงจะให้แม่กินดีไหมหนา ไหนบางฉบับบอกว่า กาแฟช่วยลดความเสี่ยงของสมองเสื่อม โอย..ปวดหัวจริง เรื่องฉี่ไม่เถียงเลย ว่ากินแล้วฉี่บ่อย แต่ฉันกินตอนเช้านี่นา ไม่เห็นลำบากที่จะเดินไปฉี่เลย ดีเสียอีก ได้ลุกบ้าง ออกำลังกาย การลุกบ่อยทำให้ลดความเสี่ยงของหลอดเลือดอุดตันนะ แต่คุณป้าต้องระวังนะครับ เดินบ่อยๆอาจจะลื่นหกล้มในห้องน้ำ สะโพกหักอีก เอาเข้าไป

4.       ดื่มน้ำมากๆนะครับ จะได้หายเร็วๆเอ๋...หายเร็วเพราะอะไรเหรอ ในเมื่อน้ำไม่ใช่ยาซักหน่อย กินเถอะครับ มันช่วยระบายความร้อนทางเหงื่อ ทางเยี่ยว ปรากฏว่า ฉี่กันทั้งวัน ป้าแกไอ (เพราะเป็นหวัด) ยิ่งทำให้ฉี่เล็ดจนต้องใส่ผ้าอนามัย ดีครับป้า จะได้รู้สึกเหมือนตอนเป็นสาวๆ คุณหมออีกคนบอกว่า อย่ากินเกิน 2 ลิตรต่อวันนี่นา ไม่เป็นไรป้า ตอนนี้เป็นหวัดสำคัญกว่า เดี๋ยวหายหวัดค่อยลดการดื่มน้ำเอา หมอที่แนะนำคนก่อนไม่ได้เรื่องเลย ???

5.       ป้าต้องกินอาหารที่มีแคลเซี่ยมสูงๆนะครับ หมอแนะนำปลาตัวเล็กๆ (บ้านผมเรียกปลาฉิ้งฉ้าง) หรือกินพวกเคยพวกกะปิก็ได้ครับ เอ๋...แล้วปลาพวกนี้มันเค็มจะตาย คุณหมอที่รักษาความดันบอกว่า งดของเค็มนะคะ กะปิก็เค็ม อยากกินน้ำพริกจะตายอยู่แล้วแต่หมอห้าม มาหมอคนนี้บอกให้กิน แล้วตกลงป้ากินได้ไหมเนี่ย ก็เวลาจะไปหาเขาก็งดก่อน เวลาจะมาหาผมก็กินได้ครับ เราเป็นหมอที่เชี่ยวชาญคนละด้านครับ?? 

               

ตกลงว่า ไอ้ที่คิดเรื่อยเปื่อย ลงท้ายแล้วก็งงงงว่า ตกลงเราจะดูแลคนไข้ด้วยน้ำลายได้อย่างไรกัน ใครก็ได้ช่วยที
คำสำคัญ (Tags): #แนะนำคนไข้
หมายเลขบันทึก: 102532เขียนเมื่อ 11 มิถุนายน 2007 18:55 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 เมษายน 2012 01:45 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (11)

อ่านแล้วอยากมาบอกอ.หมอแป๊ะว่า สิ่งที่สงสัยทั้งหมดนี้ น่าสนใจนะคะ เป็นโจทย์วิจัยได้เกือบทั้งหมดเลย ยิ่งถ้าทำเป็นสหสาขาจะยิ่งดีใหญ่เลยค่ะ สิ่งที่อาจารย์อ่านมานั้น ก็เกิดจากผลการเก็บข้อมูลทั้งจากการวิจัยตรงๆทั้งการ retrospect data ต่างๆที่รวบรวมมาจากคนไข้ โรงพยาบาลม.อ.ของเราเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีเยี่ยมเลยล่ะค่ะ ถ้าเราอยากรู้คำตอบจริงๆจากข้อมูลของคนในพื้นที่ของเราจริงๆ แทนที่จะคอยอ่านเวลาคนอื่นมารายงานบอกเรา เราจะได้เป็นคนบอกคนอื่นบ้างน่ะค่ะ 

คุณ P ครับ

จริงๆผมก็ไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่า คิดสนุกๆเรื่อยเปื่อยตามประสาคนกวนโอ๊ยเองครับ

แต่ก็จริงอย่างที่คุณโอ๋พูดครับ งานวิจัยหลายๆอย่างก็เกิดจากคำถามโง่ๆนี่เองแหละครับ ผมมักจะบอกนักเรียนของผมเสมอว่า อย่าอายที่จะถามผม รู้ก็ตอบ ไม่รู้ก็จะบอกตรงๆ อย่าคิดว่าคำถามเราฟังดูโง่ (จริงๆก็ฟังดูโง่ แต่ผมกลับตอบคำถามนั้นไม่ได้ก็หลายครั้ง) บางครั้งคิดทฤษฎีเล่นๆประสาครู ศิษย์ หัวเราะด้วยกันก็ออกจะบ่อย

ขอบคุณครับ

  • สวัสดีครับ
  • ผมเข้ามาอ่านบันทึกเรื่อยเปื่อย  และอ่านไปอ่านมากลับมีความรู้งอกเงยขึ้นมาประดับตนได้อย่างมากโข
  • คิดเรื่อยเปื่อยไปเรื่อย ๆ เลยนะครับ
  • แล้วผมจะมาตักตวงผลพวงของการคิดเรื่อยเปื่อยนี้เอง
  • ขอบพระคุณครับ
  •  สวัสดีครับ อาจารย์หมอ
  • ผมเพิ่งจะมีโอกาสได้อ่านบันทึกของอาจารย์
  • บันทึกของอาจารย์ให้ทั้งความรู้และการผ่อนคลาย
  • ถ้าใครได้รักษากับอาจารย์หมอ แค่ได้อ่านบันทึกก็แทบจะหายป่วยแล้วล่ะครับ
  • จะติดตามผลงานของอาจารย์ต่อไปนะครับ

สวัสดีครับคุณน้อง P บัวชูฝัก

ดีใจที่อ่านแล้วผ่อนคลายครับ

สงสัยเหมือนกันเลยค่ะอาจารย์ บางทีก็เกรงใจไม่กล้าถามหมอค่ะ :(

ดีแล้วครับอาจารย์ P ที่ไม่ได้ถาม (ล้อเล่น) เพราะอาจารย์อาจจะงงกับคำตอบ ที่หมออาจจะตอบไม่ตรงกัน (อย่าคิดว่าหมอจะรู้ทุกเรื่องครับ) หรือแม้กระทั่งหมอคนเดียวกันตอบไม่ตรงกัน งงไหมครับ

 

เหมือนด้วยอีกคนค่ะคุณหมอ

ก็มันงง มันสงสัยจริงๆนะคะคุณหมอ แต่ละคนร่างกายไม่เหมือนกัน

อย่างตอนคลอดลูกนะผ่าตัดคลอดเพราะน้องจิหัวใจเต้นอ่อน(มันไม่ปวดท้องอ่ะค่ะแต่มีน้ำคร่ำ)

ผ่าแล้วเจ็บแผลมาจนนอนไม่หลับขอยาพยาบาล

พยาบาลหวังดีฉีดยาให้ทางสายน้ำเกลือ(เรายิ่งใจเสาะกับเรื่องเจาะๆฉีดๆอยู่ด้วย)ไม่หายเจ็บแผลเลยค่ะ

แต่มาหายปวดกับยาพารา 2 เม็ดเนี่ยแหล่ะค่ะ คำถามคือ

1.คุณหมอคะ ทำไมจอยถึงไม่ปวดท้องคลอดลูกล่ะคะ(ฉีดยาเร่งแล้วก็ไม่ปวดฉีดอยู่3ช.มถึงค่อยปวด พอปวดซักพักน้องก็หัวใจเต้นอ่อน เข็นเข้าไปวางยาสลบผ่าออกเลย)

2.ยาฉีดระงับปวดให้ผลแรงกว่าพารามั้ยคะ น่าจะแรงกว่านะ แต่ทำไมจอยไม่หาย แต่มาหายกับพาราแทน

3.เคยอ่านหนังสือเค้าบอกว่าคนผ่าคลอดสามารถคลอดอีกครั้งทางช่องคลอดได้แล้วคุณหมอธนพันธ์จะยอมให้คนไข้คลอดทางช่องคลอดไม๊คะ คุณหมอของจอยเค้าไม่ยอมค่ะ

อีกข้อนึงคือ

ทำไมคนเราถึงมีน้ำคร่ำก่อนปวดท้องได้ล่ะคะ ของจอยไม่ใช่น้ำคร่ำแตกนะคะมันแค่ซึม เหมือนเรากลั้นฉี่ไม่ได้ ซึมตั้งแต่ 11โมง พึ่งมารพ.ตอน 5 โมงเย็นแล้วก็เร่งคลอด ผ่าคลอดตอน 3ทุ่มครึ่ง

เกิดอาการงงเล็กน้อยครับคุณจอย

เอาเป็นข้อๆเลยนะครับ

๑. เรื่องปวดหรือไม่ปวดท้องนั้น ไม่มีใครทราบหรอกครับว่าทำไมคนจึงเริ่มเจ็บครรภ์ อ้างทฤษฎีต่างๆนานา ครั้นเมื่อครรภ์เกินกำหนดแล้ว เราจึงมาคุยกันว่า จะให้ยากระตุ้นการเจ็บครรภ์ดีไหม ซึ่งนั่นก็คือสารที่ออกฤทธิ์เหมือนฮอร์โมนที่ออกมาจากต่อมใต้สมองเพื่อกระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูกนั่นเอง และเมื่อมดลูกเกิดการหดรัดตัวอย่างดีแล้วนั้น การดำเนินการคลอดก็จะเริ่มขึ้น แต่การที่หัวใจของลูกเกิดเต้นผิดปกติขึ้นมา ทางการแพทย์ก็มีแนวทางในการจัดการอยู่แล้วครับ

๒. ยาฉีดที่ให้ น่าจะเป็น morphine ครับ ซึ่งแรงกว่า paracetamol แน่นอน แต่ผลข้างเคียงก็คือ คลื่นไส้อาเจียนครับ แต่ไม่ติดหรอกนะครับ

๓. การผ่าท้องคลอด ทำให้เกิดแผลที่มดลูก ซึ่งจะมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดภาวะมดลูกแตกได้เมื่อเจ็บครรภ์ครั้งต่อไป เราสามารถคลอดลูกทางช่องคลอดได้ แต่ต้องเฝ้าระวังอย่างยิ่งยวดเลยครับ แต่ก่อนอื่นที่จะถามว่าคลอดได้ไหม ต้องถามสามีดูก่อนว่า อยากให้ท้องหรือยัง (ฮา)

๔. เข้าใจว่าการที่เขียนมาว่า มีน้ำคร่ำ น่าจะหมายถึง มีน้ำคร่ำออกมาทางช่องคลอดใช่ไหมครับ ถ้าใช่ นั่นก็หมายความว่า มีการแตกหรือรั่วของถุงน้ำคร่ำแล้ว ไม่ได้มีความหมายอะไรมากไปกว่า มันเป็นตัวบอกว่า เด็กต้องการออกมาดูหน้าแม่กับหมอแล้วครับ (ความจริงต้องเขียนว่า หมอและแม่ เพราะคนแรกที่เห็นลูกก็คือ หมอนะครับ ไม่ใช่แม่ เวนแต่ลูกสาวทั้งสองของผม ที่เห็นหน้าพ่อก่อนใครเพื่อน)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท