ข้อเสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา (๓)
บันทึกนี้ต่อจาก ตอนที่ ๑ และ ตอนที่ ๒ ในตอนที่ ๓ นี้จะชี้ให้เห็นมิจฉาทิฐิ ข้อที่ ๒ คือ การดำเนินการพัฒนาครูโดยเน้นที่การจัดการอบรม ถ่ายทอดความรู้ โดยท่านผู้อ่านพึงอ่านด้วยวิจารณญาณนะครับ อย่าเชื่อผมโดยไม่ได้ไตร่ตรองเสียก่อน เพราะว่าตัวผู้มีมิจฉาทิฐิอาจเป็นตัวผมเอง ก็ได้
การเน้นการพัฒนาครูโดยเน้นการจัดการอบรมให้แก่ครูมีข้อด้อยอย่างน้อย ๔ ประการ ที่ทำให้เกิดผลเสียหายอย่างรุนแรงต่อวงการครู คือ
1. ทำให้ครูต้องละจากศิษย์ เพื่อเข้ารับการอบรม เพื่อให้ได้ใบประกาศนียบัตร หรือปริญญาบัตร ประกอบความก้าวหน้าของตน เป็นการสร้างระบบการพัฒนาครูที่มีผลในทางลบต่อการเรียนรู้ของนักเรียน หรืออย่างน้อยๆ ก็เป็นระบบที่ไม่ผูกพันอยู่กับการพัฒนาวิธีการเรียนรู้ และผลการเรียนรู้ของศิษย์
2. เป็นการเน้นเป้าของ “การพัฒนาครู” ที่ผิด คือไปเน้นที่ความรู้ ไม่เน้นที่การกระทำ หรือการปฏิบัติ เราจึงมีครูที่ปริญญาหรือวุฒิการศึกษาสูงขึ้นมาก แต่ผลงานตกต่ำ ผมคิดว่าครูสมัยผมเป็นนักเรียนมัธยม ซึ่งส่วนใหญ่มีวุฒิแค่ ปป. หรือ ปกศ. ต้น มีความสามารถในการสอนและความเอาใจใส่ลูกศิษย์ดีกว่าครูวุฒิปริญญาตรีในสมัยนี้ การพัฒนาครูในรูปแบบปัจจุบันจึงอยู่ในสภาพ “ปริญญาเฟ้อ” หรือ ความรู้เฟ้อ แต่ “ความสามารถและความเอาใจใส่นักเรียน แฟบ”
3. ทำให้ได้ครูที่ “ไม่รู้จริง” และ “ครูของครู” ก็ไม่รู้จริง คือได้แต่เปิดตำราสอน หรือจำเขามาสอน เนื่องจากการฝึกอบรมไปเน้นทฤษฎีที่สร้างขึ้นมาจากสังคมอื่น เน้นที่ทฤษฎีใหญ่ๆ ที่ยังไม่ได้สอดใส่ “ความรู้ปฏิบัติ” ที่มาจาการปฏิบัติงานในสังคมไทย ครูที่ไม่รู้จริงที่น่าจะพบดาษดื่นที่สุดคือครูที่พูดได้ อธิบายได้ ตอบข้อสอบได้ แต่ไม่ทำ ไม่ปฏิบัติ ซึ่งในทางการเรียนรู้สมัยใหม่ถือว่ายังมีความรู้ในระดับที่ตื้น แต่ในทางการสอบถือว่าสอบผ่าน หรืออาจได้เกียรตินิยมด้วยซ้ำ จะเห็นมิจฉาทิฐิซ้อนมิจฉาทิฐิอยู่ในระบบการพัฒนาครูที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
4. เป็นการดำเนินการอยู่บนฐานความเชื่อว่าครูเป็นผู้ไม่มีความรู้ จึงต้องพัฒนาโดยจัดการฝึกอบรมให้ แนวคิดแบบนี้อยู่บนฐานคิดว่าการทำงานไม่เป็นการสร้างความรู้ หรือเท่ากับเป็นการไม่ให้คุณค่าต่อความรู้จากประสบการณ์ ที่ผิดอย่างยิ่งคือไม่เข้าใจว่าในการทำงานที่ประสบความสำเร็จอย่างน่ายกย่องนั้น มี “ความรู้ปฏิบัติ” ซึ่งเป็นความรู้ที่วงการครูน่าจะต้องการมากที่สุด มีคุณค่าสูงสุดต่อการพัฒนาระบบการศึกษา
ถึงตอนนี้คงต้องทำความเข้าใจให้ชัด ว่าผมไม่ได้บอกว่าการฝึกอบรมครูเป็นเรื่องที่ไม่มีประโยชน์ ผมเชื่อว่าการอบรมครูมีประโยชน์ แต่มีน้อยกว่าการพัฒนาครูในรูปแบบที่เน้นการพัฒนาแบบควบคู่ไปกับการทำงาน หรือการพัฒนางาน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า การพัฒนาครูควรเน้นที่การพัฒนา ณ จุดทำงาน ใช้การพัฒนางานเป็นเครื่องมือหลักในการพัฒนาครู เน้นการพัฒนาครูโดยการรวมกลุ่มกันเรียนรู้ โดยดำเนินการเรียนรู้ร่วมกันผ่านการปฏิบัติ (หน้าที่ครู) กล่าวอย่างง่ายที่สุด ใช้กระบวนการ KM เป็นเครื่องมือในการพัฒนาครู
คุณโอฬาร คำจีน ครูผู้ไปเรียนปริญญาโท ด้าน KM มาจากออสเตรเลีย ได้เข้ามาเขียนข้อคิดเห็นในบันทึกแรกของผมดังนี้ (คลิก) จะเห็นว่ากระทรวงศึกษาฯ ได้ลงทุนส่งครูไปเรียนรู้เรื่องดีๆ แต่ดูเหมือนว่ากระทรวงฯ ยังไม่ได้ใช้ความรู้ของ อ. โอฬาร ให้เป็นประโยชน์ ในเชิงการพัฒนาระบบการพัฒนาครูของกระทรวงอย่างจริงจัง ผมจึงขอเสนอให้ คณะกรรมการฯ ลองขอให้ อ. โอฬารมานำเสนอหลักการและแนวปฏิบัติให้แก่คณะกรรมการฯ หรือคณะอนุกรรมการฯ ก็ได้
อ. โอฬาร กรุณาแจ้งหมายเลข e-mail และหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อที่ [email protected] ได้ไหมครับ ผมอยากคุยด้วย
ผมขอเสนอยุทธศาสตร์การพัฒนาครูโดยเน้นพัฒนาครูผ่านการพัฒนางานประจำคืองานจัดการเรียนรู้ของศิษย์ ทำให้งานประจำเป็นการเรียนรู้ให้ได้ โดยที่จัดระบบให้เป็นการเรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่ม (ของครู) ในลักษณะที่เรียกว่า เรียนรู้ร่วมกันผ่านการปฏิบัติ (Interactive Learning Through Action) ซึ่งก็คือดำเนินการจัดการความรู้นั่นเอง ตัวอย่างของการพัฒนาครูแบบนี้มีตัวอย่างที่โรงเรียนจิระศาสตร์วิทยา จ. พระนครศรีอยุธยา, โรงเรียนรุ่งอรุณ, โรงเรียนเพลินพัฒนา และโรงเรียนอื่นๆ อีกหลายโรงเรียน กระทรวงศึกษาธิการน่าจะส่งเสริมให้มีการพัฒนาวิธีวัดสมรรถนะ (competency) ของครู ถ้าพบครูที่ได้เรียนรู้จากการทำงานจนมีสมรรถนะถึงระดับหนึ่งก็ส่งเสริมให้ได้รับการตอบแทนสูงขึ้น และหรือได้เข้าเรียนปริญญาโท – เอก โดยทำวิทยานิพนธ์ในเรื่องที่ตนได้เรียนรู้จากการปฏิบัติมาก่อน โดยนำเอาทฤษฎีไปตีความเพื่อสร้างความรู้ใหม่เชิงทฤษฎีจากความรู้เชิงปฏิบัติของตน หากทำเช่นนี้จะเป็นการปฏิวัติหลักการและรูปแบบการพัฒนาครู โดยที่ทุกฝ่ายจะได้รับประโยชน์ (win – win)
การดำเนินการนี้ควรทำในทุกเขตพื้นที่การศึกษา ไปเสาะหาครูที่ได้สร้างนวัตกรรมการเรียนรู้อยู่แล้ว เชิญมาเล่าความสำเร็จของตนว่าเป็นอย่างไรและตนดำเนินการอย่างไรจึงบรรลุผลสำเร็จนั้น จดบันทึก “ความรู้ปฏิบัติ” เหล่านั้นไว้ และเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตอย่างเป็นระบบ ให้คนอื่นเข้าไปค้นหาได้ง่าย ส่งเสริมให้ครูเหล่านี้ได้ขับเคลื่อนเครือข่ายการเรียนรู้ (เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน) ในลักษณะของการเรียนรู้ร่วมกันผ่านการปฏิบัติ มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่าน ICT และผ่านการพบปะเป็นครั้งคราว โดยกระทรวงฯ จัดทรัพยากรสนับสนุน โดยที่เปิดโอกาสให้ครูเหล่านี้คิดพัฒนาร่วมกันอย่างเป็นอิสระ ตามเป้าหมายที่ตกลงกัน คืออิสระที่วิธีดำเนินการ ไม่อิสระที่เป้าหมาย การดำเนินการจริงจะมีรูปแบบที่ความหลากหลายสูงมาก แต่เป้าจะอยู่ที่เดียวกันคือพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน
ผลลัพธ์ที่เชื่อว่าจะได้ คือ
1. ครูได้รับการพัฒนา
2. งานการเรียนการสอนได้รับการพัฒนา
3. การเรียนรู้ของนักเรียนจะมีผลสัมฤทธิ์สูงขึ้น
4. มีการสร้างองค์ความรู้เชิงทฤษฎีด้านการศึกษาจากบริบทไทย
5. โรงเรียนจะเป็นองค์กรเรียนรู้
6. ครูและบุคลากรการศึกษาจะเป็นบุคคลเรียนรู้
7. วงการศึกษาศาสตร์ไทยจะเป็นผู้นำ หรือเคียงบ่าเคียงไหล่กับวงการศึกษาศาสตร์สากล
วิจารณ์ พานิช
๒๐ ธค. ๔๘
เรียน ท่านอาจารย์ศาสตราจารย์ ดร.นพ.วิจารณ์ พานิช ที่เคารพยิ่ง ข้อเขียนในประเด็นข้อเสนอแนะต่อคณะกรรมการการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา ตอนที่ 3 ซึงผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เพราะจาการที่ไปร่วมมหกรรมการจัดการความรู้แห่งชาติ ครั้งที่ 2 การพัฒนาครูโดยเน้นพัฒนาครูผ่านการพัฒนางานประจำ คือ งานจัดการเรียนรู้ของศิษย์ งานประเมินคุณภาพภายนอกจาก สมศ. แล้วนำผลการเรียนรู้ การประเมินผล และนำงานประจำเป็นการเรียนรู้ให้ได้ โดยจัดระบบให้เป็นการเรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่ม(ครู) ในลักษณะที่ว่าเรียนรู้ร่วมกันผ่านการปฏิบัติ ซึ่งวิธีการนี้ผมเคยนำไปใช้กับการพัฒนากลุ่มองค์กรชุมชนด้านอุตสาหกรรมชุมชน ส่งผลให้เขาได้รู้จักตนเอง รู้จักทรัพยากรและสามารถจัดการทรัพยากรใกล้ตัวโดยเฉพาะปัจจัย 4 สามารถลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ เกิดความเชื่อมั่นในตัวเองมีการปรับปรุงพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น ตัวอย่างสหกรณ์การเกษตรประชาคมนำเกลี้ยงเวียงชัย ตำบลนาข่า อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม และในส่วนของโรงเรียนเช่นเคยดูนิทรรศการโรงเรียนรุ่งอรุณ เป็นตัวอย่างที่ดีมาก