...นี่ถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจครับ ดูเผินๆ การแต่งตัวก็ทำให้หลายๆคนเปลี่ยนไป วันนี้น้องชายคนเก่งของผม น้องโต้งครับ แฮะๆ ต้องเขียนชื่อจริงน้องเขาเสียหน่อยว่า
นายธีระพงษ์ ปุ้มประเสริฐ หรือ น้องโต้ง นั่นเอง
เวลาอยู่ที่บางมด ปกติผมจะทานข้าวเย็นกับน้องโต้งเกือบทุกวัน ถ้าใครไม่ติดธุระที่ไหนเสียก่อน แต่วันนี้ด้วยสภาพการณ์ที่เปลี่ยนไป ทำให้ผมไม่กล้าเดินกับน้องเขาครับ แฮะๆ
ไม่มีอะไรหรอกครับ ก็น้องเขาไปช่วยงานอาจารย์ในการสอบสัมภาษณ์ทุนฟลูไบรท์ ที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ครับ ฉะนั้นเรื่องการแต่งองค์ทรงเครื่องไม่ต้องพุดถึง น้องโต้งของผมในวันนี้ใส่ชุดหล่อมากจริงๆ จนผมจำแทบจะไม่ได้ ในขณะที่ผมใส่กางเกงขาสั้นและเสื้อยืดกีฬาย้วยๆ เหมือนเคย เวลาเดินคู่กัน ผมก็เขินๆ เหมือนพระเอกเดินกับคนใช้ในละครน้ำเน่าทั่วไป
(ผม มีสภาพเหมือนคนใช้มากๆเลยครับ)
ที่น่าชำใจหนักไปกว่านั้น ตอนเดินไปทานข้าวสวนกันกับเพื่อนที่ไม่เจอกันเดือนกว่าๆ ปรากฎว่าเพื่อนจำผมไม่ได้ต้องเข้าไปทักครับ เนื่องจากน้ำหนักมันขึ้นมาเกือบ เก้าสิบ กิโลกรัมแล้ว (รุ่นเฮฟวี่เวทเลยละ)
พอทักทายเพื่อน เพื่อนผมเขาก็ขอโทษบอกจำผมไม่ได้จริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะอ้วนได้ขนาดนี้ครับ เฮ้อ
ผมก็เล่าเรื่องราวแบบที่เขียนเนี่ยละให้ น้องโต้งฟังครับ
ปรากฎว่า กลายเป็นในมื้อเย็นของวันนี้ กระผมก็ได้เรียนรู้คุณธรรมเพิ่มเติมมาอีกหนึ่งข้อจากการสนทนากับน้องโต้งครับ นั่นก็คือ น้องโต้งแสดงความรู้สึกให้ฟังว่า
"พี่กอล์ฟครับ ถึงแม้วันนี้ผมจะแต่งตัวเปลี่ยนไป แต่ว่าข้างใน (จิตใจ) ก็ยังเหมือนเดิม"
ฟังแล้วมันก็จริงนะครับ แก่นแท้ที่คนเราคบหากันเป็นมิตรสหายเนี่ย เปรียบเทียบจากการแต่งตัวได้หรือไร วันหนึ่งถ้าหลายคนได้ดิบได้ดี เปลี่ยนการแต่งตัว ไปซื้อเสื้อผ้าหรูๆตาแฟชั่น ก็ไม่ได้ช่วยให้ในใจดีขึ้นมาได้ ฟังน้องเขา แล้วเอามาเตือนตนครับ เพื่อไม่ให้ใจของตัวเอง หลงยึดติดกับรูปลักษณ์ภายนอก จนลืมแก่นแท้ภายใน
ขอบใจน้อง และขอบคุณทุกคนครับ