ลาดนาเพียงเป็นชื่อหมู่บ้านแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น ไม่ไกลมากนักจากมหาวิทยาลัย และตัวเมืองใหญ่ แม้จะไม่ได้ตั้งอยู่บนเส้นถนนสายหลักแต่ก็มีถนนสายรองผ่านหมู่บ้าน มีลำห้วยสายเล็กๆไหลผ่านแต่ไม่มีน้ำหรอก แห้งขอดมานานแล้ว ชาวบ้านเป็นไทยอีสานทั่วไป อาชีพหลักก็ทำนาปลูกข้าวไว้กิน เหลือขายบ้าง โดยอาศัยน้ำฝน สระน้ำสาธารณะพอมีน้ำบ้าง แต่ก็เอาไว้ให้วัว ควายกิน
เนื่องจากเป็นหมู่บ้านที่มีอายุนับร้อยปีจึงมีขนาดใหญ่ ทางราชการก็มาแบ่งแยกออกเป็นสองหมู่ตามนโยบายการปรับปรุงวิธีการปกครอง (ส่วนหนึ่งเพื่อรองรับนโยบายเงินล้าน..) ทั้งที่เป็นพี่น้องท้องเดียวกัน หลังคาบ้านติดกัน ทำนาทุ่งเดียวกัน กราบพระองค์เดียวกัน เผาศพที่เดียวกัน กินน้ำจากบ่อเดียวกัน เฒ่าจ้ำคนเดียวกัน หมอธรรมคนเดียวกัน แต่ราชการมากำหนดให้สังกัดคนละหมู่บ้าน
มีป่าชุมชนผืนเล็กๆอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านมากนัก เป็นที่เลี้ยงสัตว์บ้าง และหาเห็ด หาพืชป่าที่พอหลงเหลืออยู่บ้าง
ที่น่าสนใจคือ ชาวบ้านไม่ค่อยออกไปทำงานที่อื่นมากนักเหมือนหมู่บ้านอีสานทั่วไป ทั้งๆที่การคมนาคมเรียกได้ว่าสะดวก และระยะทางไม่ไกลจากตัวเมืองใหญ่ ทำงานในเมืองแบบไปกลับได้สบาย แต่ทำไมชาวบ้านจึงไม่ไปทำงานข้างนอก ??
เหตุผลที่สำคัญคือ ที่นี่ทำการผลิต “พืชเศรษฐกิจหลังนา” ที่สำคัญสุดของภาคอีสานก็ว่าได้ คือ “มะเขือเทศเก็บเมล็ดพันธุ์” ทำกันมาเกือบ 20 ปีแล้ว มีหลายบริษัทธุรกิจเกษตร ที่ต่างเข้ามาหาพื้นที่เพาะปลูก โดยเสนอให้ผลประโยชน์ดีที่สุดแก่ชาวบ้านในเงื่อนไขสัญญาระหว่างกันที่เรียกว่า Contract farming ซึ่งชาวบ้านก็ตอบรับเป็นอย่างดี แรงดึงดูดที่สำคัญคือรายได้ที่เกษตรกรได้รับ ผู้ใหญ่บ้านกล่าวว่า เป็นหลักหมื่นถึงหลักแสนบาทต่อครอบครัวต่อฤดูกาล
เนื่องจากระยะเวลาที่เกษตรกรบ้านนี้ทำการผลิตพืชแบบนี้มาเป็นเวลานานจึงเกิดเป็นแรงงานมีฝีมือ คือมีความชำนาญ ทำให้ผลผลิตสูง การสูญเสียมีน้อย และเมล็ดพันธุ์ที่ได้มีคุณภาพตรงความต้องการของบริษัทธุรกิจเกษตรทั้งหลาย พื้นที่ทำการผลิตถึงสองร้อยไร่จึงเป็นแหล่งผลิตที่ใหญ่มาก เกษตรกรก็ไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น นอกจากทุ่มเทเวลาให้กับมะเขือเทศ ซึ่งนับต้นปลูกกันเลย
เมื่อพิจารณารายได้แล้วน่าดีใจ เมื่อชาวบ้านไม่อพยพไปหางานทำที่อื่นก็น่าดีใจ เพราะการอยู่ที่บ้านคือความอบอุ่นของครอบครัว วัฒนธรรมประเพณีต่างๆก็มีชาวบ้านมาร่วมมือมากมาย การทำบุญที่วัดก็ไม่ขาด ประเพณีไหว้เจ้าปู่ตาก็ไม่ได้ละเว้นและมีผู้เข้าร่วมมาก มีพ่อมีแม่ มีตามียาย มีลูก มีหลาน หรือที่เรียกกันกว่า ครอบครัวที่สมบูรณ์นั้น “ต้องได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ ได้ยินเสียไอของคนแก่” คือมี 3 generation ภายในครอบครัว บ้านลาดนาเพียงมีสภาพเป็นเช่นนั้นจริงๆ
จากข้อมูลที่กล่าวมาทั้งหมดน่าที่จะยินดีปรีดากับพี่น้องบ้านลาดนาเพียง แต่ตรงข้าม บ้านลาดนาเพียงกำลังสะสมความตาย และเริ่มทยอยกันสะอื้นต่อไปเรื่อยๆเสียแล้ว จากมะเขือเทศนี่แหละ
เพราะการปลูกมะเขือเทศนั้นเป็นพืช ICC หรือเรียกว่า Intensive Care Crop มันเป็นพืชที่ผมพันธุ์ขึ้นมาใหม่ๆ สายพันธุ์ใหม่ ซึ่งชาวบ้านไม่มีสิทธิรู้เลยว่าชื่อพันธุ์มะเขือเทศนี้ชื่ออะไร รู้แต่ว่า เบอร์นั้นเบอร์นี้ เป็นหมายเลขซึ่งเป็น Code ที่บริษัทกำหนดขึ้นมาแทนชื่อพันธุ์สามัญทั่วไป
ประการสำคัญที่สุดคือ พืชเหล่านี้ไม่ทนทานต่อโรคแมลงต่างๆจึงจำเป็นต้องใช้สารเคมี และใช้อย่างมากเสียด้วย !! ตลอด 20 ปีที่ผ่านมาเกษตรกรบ้านลาดนาเพียงใช้สารเคมีไปแล้วมากมายนับร้อยๆตันกระมัง..! สารเคมีเหล่านี้ไปไหนหมดหลังการฉีด พ่นลงไปที่ต้นมะเขือเทศ ส่วนหนึ่งก็ซึมเข้าไปที่ต้นมะเขือเทศ แต่ส่วนใหญ่ก็ตกลงบนพื้นดินที่นารอบๆหมู่บ้านของเขานั่นเอง และที่ซึมเข้าร่างกายชาวบ้านมีจำนวนเท่าใดกัน หามีใครมาวัด มาตรวจสอบไม่..? หากไปตามดูว่าส่วนที่ตกลงดินนั้นไปไหนต่อ ก็จะละลายน้ำยามฝนตกและไหลไปตามกระแสน้ำสู่ที่ลุ่มคือแหล่งน้ำสาธารณะ บ่อน้ำสร้าง บ่อน้ำใต้ดิน และลำห้วยต่างๆ คนก็เอา วัวควายไปกินน้ำในแหล่งน้ำสาธารณะนั้นๆ คนก็เอาน้ำใต้ดินมากินมาใช้ต่อ
เงินหมื่นเงินแสนที่ได้มาจากการเพาะปลูกพืชด้วยฝีมือชำนาญนั้นถูกกระจายตัวไปสู่เครื่องอำนวยความสะดวกในชีวิตตามกระแสสังคม เช่น ทีวีจอใหญ่ๆ มือถือรุ่นล่าสุด วิทยุเสียงดังๆ รถมอเตอร์ไซด์วิ่งเร็วๆปานรถแข่งในสนาม รถปิคอัพคันหรูตามแรงโฆษณาในทีวีจอใหญ่นั้น ฯลฯ ยามเมื่อฤทธิ์สารเคมีที่สะสมในร่างกายแสดงผลออกมา ก็ไปโรงพยาบาลใช้สิทธิ์ 30 บาทรักษาทุกโรค ?? !!
ไม่มีการทำ Blood test เพื่อดูว่า สารเคมีอยู่ในร่างกายเท่าใด มีกี่คนที่อยู่ในระยะอันตราย การป้องกันที่ควรทำขั้นพื้นฐานและขั้นสูงสุด
โรงพยาบาลต้องเสียค่าใช้จ่ายอีกเท่าใดต่อการดูแลสุขภาพชาวบ้านลาดนาเพียงวิถีชีวิตของชาวลาดนาเพียงจะเปลี่ยนไปอย่างไรเมื่อเกษตรกรทุกคนที่ใช้สารเคมีนั้นแสดงผลฤทธิ์ร้ายออกมา
เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาคณะสาธารณะสุขศาสตร์มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งเคยทำการวิจัยน้ำบ่อสร้างกลางนาที่ชาวบ้านอีสานนิยมใช้เป็นแหล่งน้ำดื่มนั้น ปนเปื้อนสารเคมีจำนวนมาก และสั่งให้กลบทิ้งจำนวนมากเช่นกัน แต่ชีวิตที่บ้านลาดนาเพียงไม่มีงานวิจัย ไม่มีการดูแลอย่างใกล้ชิด
ผมเห็นใจชาวบ้านลาดนาเพียง ภาครัฐจะต้องเข้ามาดูแลอย่างใกล้ชิดมากขึ้น เช่น มาควบคุมดูแลการใช้สารเคมีอย่างถูกวิธี มาตรวจการปนเปื้อนสารเคมีในกระแสเลือด ให้คำแนะนำการป้องกันและฟื้นฟูสภาพวิถีชีวิตที่ปลอดภัย และอื่นๆที่เหมาะสม
ผมเชื่อว่าชาวบ้านลาดนาเพียงก็เหมือนกับอีกหลายหมู่บ้านที่มีทางเลือกไม่มากนัก แต่การปรึกษาหารือกัน สรุปบทเรียนกัน น่าจะมีทางออกและแนวทางการทำการเกษตรอย่างปลอดภัยได้
สวัสดีค่ะคุณบางทราย (คนเข็นครก ขึ้นภูเขา)
อ่านแล้วรู้สึกอย่างหนึ่งที่ชัดมากเลยคือ "การขาดความพอดี" เวลาเราทำอะไรบางอย่างมากไป ชีวิตก็ขาดสมดุล เหมือนคนกินเนื้อสัตว์อย่างดีเป็นอาหารมากๆ สุดท้ายก็เป็นมะเร็งจากการกินเนื้อสัตว์อย่างดีมากเกินไป ... เหมือนกับคนที่ยากจนมากกินอาหารคุณภาพต่ำ แล้วก็ขาดสารอาหารเป็นโรคต่างๆ ขึ้นมา...
บางทีคนเราก็กลายเป็นเหยื่อของสิ่งที่เราคิดค้นกันขึ้นมาเอง...
แน่นอนว่าชีวิตที่บ้านลาดนาเพียงคงไม่ใช่ชีวิตที่พึงประสงค์ และก็คงไม่เรียกว่าเป็นชีวิตที่พัฒนาอย่างยั่งยืนอย่างแน่นอนค่ะ....
สวัสดีค่ะ
เคยพยายามเอาปุ๋ยอินทรีย์ไปให้ที่ชาวนาสุพรรณ แต่เขาไม่เอาค่ะ เป็นเพราะ
สวัสดีครับอาจารย์
มันขาดความพอดีดังกล่าวแหละครับ มีคำถามมากมาย เกิดขึ้นตามมา ในที่สุดก็มาลงที่คน คุณภาพของคน การขาดความรู้ความเข้าใจ หากจะไปโทษระบบการศึกษาก็จะให้ร้ายบุคลากรด้านนั้นมากเกินไป แต่ปัจเจกที่มีส่วนได้เสียนั้นๆ จะหูตาสว่างตื่นขึ้นมาเรียนรู้ให้เท่าทันโดยไม่ต้องจับเข้าห้องเรียน ได้ไหมล่ะ อือมม ยากนะ เป็นหมื่นเป็นแสนจะมีหลุดมาสักคน เมื่อได้มาแล้ว คนยกย่องกันทั่วบ้านทั่วเมือง แต่คนข้างๆบ้านกลับไม่ได้สนใจที่จะพัฒนาตามอย่าง หรือทำให้ดีกว่า ..นี่คือคนแบบเรา เรา..ที่เห็นโดยทั่วไป ใช่ไหมครับ
สวัสดีครับท่าน
ผมเห็นด้วยกับท่านทุกอย่าง ทุกประเด็น ผมทำงานกับชาวบ้านมานานก็เห็นสิ่งนั้น พบสิ่งนั้น และยอมรับว่ายากมากๆ ในการเปลี่ยนแปลงคน
แต่ผมก็เชื่อว่ามันมีวิธีอยู่ แต่เรายังไม่พบวิธีที่ดีที่สุด
การใช้สารเคมีและปุ๋ยวิทยาศาสตร์ผมก็ไม่ปฏิเสธแบบหัวชนฝา เพียงแต่ทำอย่างไรให้เกษตรกรปฏิบัติตามคำแนะนำที่ฉลากข้างขวดนั้นๆ ก็ดีมากขึ้นโขแล้ว แต่ไม่ทำแถมซ้ำเพิ่มความเข้มข้นตามใจตัวเองซะอีก
ในหลักการนั้น มันมีกระบวนวิธีและคำแนะนำทางวิชาการอยู่แล้ว เพียงแต่ทำตามคำแนะนำเท่านั้นก็ลดอัตราความเสี่ยงมากมาย กำชับเรื่องการป้องกันตาม หลักการ
การปรับเปลี่ยนต้องใช้เวลา และต้องมีนักวิชาการทำการส่งเสริมตามหลักวิชาการอย่างต่อเนื่อง สร้างแรงกระตุ้นอยู่เรื่อยๆ ทำของจริงให้เห็น
ต้องทิ้งระยะให้เกิดการเรียนรู้และทิ้งระยะการปรับเปลี่ยน ล้วนแต่ใช้เวลาทั้งสิ้น ครับ
ผมใช้หลัก V & C system คือ Visiting and Coaching ทุกวันเว้นวัน ในโครงการสูบน้ำด้วยไฟฟ้าที่ส่งเสริมชาวบ้านปลูกมะเขือเทศส่งโรงงาน ปลูกยาสูบพันธุ์ เตอร์กิส และฯลฯ ก็ยังเผชิญที่ว่าชาวบ้านไม่ปรับเปลี่ยนตามที่เรา ต้องใช้เวลาด้วย ครับ
สวัสดีครับคุณบางทราย
ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคม ไม่ว่าจะเป็นชุมชนเมืองหรือชุมชนชนบท ส่วนใหญ่เกิดจาก"คน"แทบทั้งสิ้น เพราะ"คน"มักจะทำงานเพื่อ"ผลงาน"ของตัวเอง ชื่นชมใน"ผลงาน"ของตัวเองมากกว่าที่จะคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดตามมาภายหลัง
คนในชนบทคิดออกอยู่อย่างเดียวว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้น ย่อมคิดไม่ถึงว่า การปลูกมะเขือเทศจะต้องใช้ปุ๋ยเคมี และจะมีแมลงตามมา ทำให้ต้องซื้อยาฆ่าแมลง และยาฆ่าแมลงจะทำให้สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ฯลฯ
คนขายปุ๋ย คนขายยาฆ่าแมลง รู้แน่นอนอยู่แล้วว่าปุ๋ยและยาฆ่าแมลงต้องขายได้ ถ้าชาวบ้านปลูกมะเขือเทศพันธุ์ใหม่ที่ตัวเองไม่รู้จักมาก่อน
คนรับซื้อมะเขือเทศรู้แน่นอนว่าราคารับซื้อจะต่ำลงเมื่อชาวบ้านแย่งกันปลูก
เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำๆซากๆในบ้านเรา ผมจำได้ว่าเมื่อหลายสิบปีก่อนก็มีเรื่อง "หอยเชอร์รี่" จนปัจจุบันกลายเป็นปัญหาใหญ่โต
การแก้ปัญหาหรือป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา อย่างแรกผมคิดว่าจะต้องมีบุคลากรอย่าง"ครูบา"และนักพัฒนาชุมชนอย่าง"คุณบางทราย"นี่แหละครับ คอยให้ความรู้แบบ"ครบวงจร"แก่ชาวบ้าน ชุมชนชนบทจึงจะมีภูมิคุ้มกัน
สวัสดีครับอาจารย์ศิริศักดิ์
สวัสดีครับคุณบางทราย
ผมเกิดที่บ้านลาดนาเพียง ต.สาวะถี อ.เมือง จ.ขอนแก่น
ผมได้อ่านบทความของคุณแล้วตอนแรกก็มีความดีใจแทนชาวบ้านของตัวเองมาก เพราะเป้นหมู่บ้านสมบูรณ์แบบ อ่านไปตอนกลางแล้วเปลียนความรู้สึกของผมแบบสุดขัวเลย
ผมดีใจมากที่มีคนให้ความสนใจกับสิ่งที่แปลก และค้นหาจุดแปลกของสิ่งนั้น ผมดีใจมากเลยที่คุณทำให้ผมมองเห้นปัญหาในอนาคต ผมต้องขอขอบคุณมากแบบสุดๆ
ท่านผู้อ่านทีเคารพ ผมขอยึนยันในบทความของคุณบางทราย ทุกอย่างเป็นความจิง
บริษัท สากลเมล็ดพันธุ์ เข้ามาที่บ้านของผม และทุกคนรับและร่วมมือ ทุกอย่างก็เปลียนไป จากคนอดอยากก็มีเงินทองใช้จ่าย และตอนชาวบ้านทำงานให้บริษัทนี้ใหม่
ก็มีคนเริ่มป่วยให้เห็น ทุกคนจะพูดเป็นคำเดียวกันว่า ยาแร็ง และชาวบ้านก็ไม่หยุดทำ
เพราะว่ารายได้มันคุ่มค่า ตอนนั้นผมยังเป็นเด็กเรียนที่บ้านลาดนาเพียง เวลาชาวบ้านเก็บผลผลิตนั้นน่ากลัวมาก เพราะว่าแมลงวันที่ขอนแก่นมารวมกันที่บ้านลาดนาเพียงทั้งหมดเลย ผมเห็นแล้วก็กลัวมาก เวลากินข้าวต้องกินในมุ้ง ผมเห็นอยู่เป็นประจำ ทุกวันนี้ยังเป้นเช่นนี้ ตอนนี้ผมอยู กรุงเทพ
สวัสดีครับเด็กบ้านลาดนาเพียง
ดีใจที่รู้จักกันครับ หากทราบเรื่องนี้น้องควรจะกลับไปหาข้อมูลอย่างละเอียดแล้วประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องบ้านลาดนาเพียงทราบ ถกกันให้มากๆ เอาตัวอย่างที่ได้รับผลกระทบทางลบมาให้ดูกัน แล้วตัดสินใจว่าจะเอาไงต่อไป
ต้องทำครับมิเช่นนั้นพี่น้องของเราก็จะตายผ่อนส่งกันหมดครับ
ยินดีรู้จักครับ
ตอนผมอ่านบทความแล้ว ผมก็เดินมางกลับบ้านเกิด
และได้คุ่ยกับผู้นำหมู่บ้าน และเอาบทความที่อ่านไปให้ชาวบ้านอ่านด้วย
ยังเข้าไปถามชาวบ้านที่ปลุกพืชในแปลเกษตรทดลองของบริษัทด้วย
และมองไปรอบๆ แปลงเกษตรทดลอง เห้นแล้วมีความเป้นห่วงชาวบ้านมาก
และได้ถามคนที่ปลุก ถึงสุขภาพทุกคนพูดเหมื่อนกัน คือสุขภาพยำแยมากเลย
ถามจะเลิกปลุกเปล่า เขาหาคำตอบให้ผมไม่ได้ เพราะว่าคนเคยมีรายได้ที่สูงและยังไม่มีงานใหม่มาทำแทน และตอนนี้กำลังทำการเพาะปลุก ตอนน่ากลัวมากคือตอนเก็บผลผลิต
มันเน่าและแมงวันมากมายเดือนมีนาคม ผมเป้นห่วงคนที่ไม่ทำการเพาะปลุก
และต้องกินอาหารที่หาในบริเวรใกล้ที่เพาะปลุก ผมอยากให้ฝ่ายราชการบอกความจริง
ให้กับชาวทราบ และทำให้ชาวบ้านนั้นไม่กล้าทำการเพาะปลุก แต่ราชการปิดผลการตรวจเลือดไมออก และไม่บอกให้กลับชาวบ้านเลย ผมขอความช่วยเหลือ ให้พี่น้องแนะนำวิธีจัดการกับคนเห้นแก่ตัวด้วย
สวัสดีครับ เด็กบ้านลาดนาเพียง
ผมดีใจที่ได้พยายามทำอะไรสักอย่าง ผมมีข้อเสนอดังนี้
ด้วยความหวังและเจตนาดีต่อลาดนาเพียง
เจ้าเป็นไผ๋ พ่อใหญ่ บางทราย เจ้าคึสิมาฮู้ดีคักแท้ อย่ามาดูถูกคนจน บ้านนอกคอกนา ผมอ่านดูแล้ว ข้อความของท่านมันออกแนว ดูแคลนกันเกินไป ถ้าหวังดีจริงควรจะลงมือทำอะไรบ้าง ท่านดีกว่าเราตรงที่ เกิดในที่ดีกว่า มีความรู้มากกว่า แต่ใครจะเลิกเกิดได้ เขาเลือกที่จะทำได้ ชาวบ้านเขาไม่มีความรู้ นักปราชย่อมไม่ดูแคลนใคร แล้วท่านหละ อย่ามายุ่งกับหมู่บ้านเราถ้าไม่รู้จริง อย่ามาดีแต่ปาก จำไว้
มันเปนวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปตามยุคตามสมัย ค่าครองชีพที่สูงขึ้น รายจ่ายที่มากขึ้น ชาวบ้านก็ต้องทำอาชีพที่ต้องเลี้ยงครอบครัวเพื่อความอยู่รอดนะคะ หากจะมาให้นั่งจับปลาหาปูกิน คงอดตายกันเป็นแน่ค่ะ (อย่าลืมว่าค่าครองชีพมันสูงนะคะ) หากพวกคุณที่ทำวิจัยไปแล้ว ทราบข้อมูลที่แท้จริงแล้ว ทำไมท่านถึงนิ่งดูดายไม่หาทางช่วยชาวบ้านหล่ะคะ จะเป็นพระคุณอย่างสูง เพราะหนึ่งในจำนวนผู้ที่ปลูกมะเขือเทศนั้น มีพ่อและแม่ของหนูด้วย..........ขอบคุณอย่างสูง
สวัสดีครับ คนบ้านลาด
1. ถามหาว่าบางทรายเป็นไผ : ตอบ :- ไม่ยากเลยที่จะรู้จักว่า บางทราย คือใคร หากท่านเป็นสมาชิกแห่งนี้ย่อมทราบดีว่าจะหาประวัติ บางทรายได้ตรงไหนครับ ลองค้นหาเอาเองนะครับ
2. อย่ามาดูถูกคนจน บ้านนอกคอกนา ผมอ่านดูแล้ว ข้อความของท่านมันออกแนว ดูแคลนกันเกินไป : ตอบ:- ท่าน คนบ้านลาด ลองไปอ่านใหม่ช้าๆ ไตร่ตรองไปด้วยซิครับว่าผมหมายถึงอะไร หรือลองอ่าน ความเห็นท่านอื่นๆ แม้แต่ความเห็นก่อนหน้าท่านซึ่งใช้นามว่าเด็กบ้านลาดนาเพียง ก็เข้าใจสาระที่ผมเขียนว่าหมายถึงอะไร ผมต้องการสะท้อนสภาพสังคมชุมชนแห่งหนึ่งที่มีสภาพเช่นนี้ และจริงๆมีอีกมากมายที่มีสภาพเช่นนี้ และมากกว่านี้ก็มี แถบสกลนคร กาฬสินธุ์ ฯลฯ.. ที่ทำงานหนักมากๆเพื่อรายได้ เพราะทางเลือกมีน้อย... เป็นการสะท้อนให้ผู้ปกครองบ้านเมืองได้คิดมากๆว่าการปล่อยให้ธุรกิจการเกษตรทำงานธุรกิจผลิตเมล็ดพันธุ์แบบอิสระแบบนี้นั้น อันตรายตกอยู่กับชาวบ้าน ทั้งที่รู้ เข้าใจ และที่ไม่ได้ใส่ใจมากนักเพราะต้องการทำงานที่มีรายได้ และไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้
3. นักปราชย่อมไม่ดูแคลนใคร : ตอบ:- ผมไม่ใช่ปราชญ์ครับ และผมไม่ดูแคลน ตรงข้ามต้องการสะท้อนให้สังคมวงกว้างเห็น เข้าใจว่ามีชุมชนที่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ หากอยากรู้ว่าผมเป็นใครก็เชิญท่านไปหาข้อมูลที่มีอยู่แล้วในระบบนี้ได้ครับ เปิดเผย ตรง ชื่อจริง นามสกุลจริง มีตัวตน รูปที่แสดงจริง สมาชิกสังคมแห่งนี้ โดยเฉพาะเจ้าของสังคมแห่งนี้รู้จักผมมากเพียงพอครับท่านคนบ้านลาดครับ
4. แล้วท่านหละ อย่ามายุ่งกับหมู่บ้านเราถ้าไม่รู้จริง: ตอบ:- ผมเขียนถึงชุมชนที่ผมเห็น เรื่องของหมู่บ้านเป็นเรื่องสาธารณะไม่มีใครผูกขาดได้ ท่านที่ใช้ชื่อ เด็กบ้านลาดนาเพียง ความเห็นก่อนหน้าท่าน ยังกล่าวตรงข้ามกับท่าน และเรื่องนี้ผ่านมาตั้งหลายปี ผมก็ไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับบ้านลาดนาเพียง อีก ตรงข้าม ดูข้อเสนอผมที่มีต่อ ความเห็น เด็กบ้านลาดนาเพียงซิครับ ว่าผมเสนออะไร เป็นประโยชน์ต่อบ้านลาดนาเพียงแค่ไหนครับ มิได้ให้ร้ายชุมชนแห่งนี้ ตรงข้ามเห็นใจ และมองทางออกด้วย เสนอทางออกด้วย ท่านกรุณาอ่านให้ครบทุกความเห็นที่ผมมีต่อทุกท่าน และที่ทุกท่านมีต่อผมด้วยครับท่าน
5. อย่ามาดีแต่ปาก จำไว้: ตอบ:- ท่านเป็นคนของบริษัทที่เข้าไปทำธุรกิจเกษตรนี้หรือเปล่าครับ ถึงไม่เห็นเจตนาดีของผม หากท่านเป็นคนของบริษัทนี้ก็ย่อมไม่ชอบบันทึกเรื่องนี้ เพราะไปตั้งคำถามแก่คนที่มาทำธุรกิจนี้ว่า สิ่งที่ชาวบ้านได้ กับเสียนั้น มันคุ้มค่ากันหรือเปล่าครับ
เรียนท่านนะครับว่า สืบค้นชื่อจริง นามสกุลจริงที่อยู่ ที่ทำงาน ของผมได้จากระบบสังคมแห่งนี้ แต่ท่านละครับ เปิดเผยไหมครับ หากท่านเป็นคนบ้านลาดนาเพียง ผมขับรถไม่นานเท่าไหร่ก็สามารถไปพูดคุยเพื่อความเข้าใจดีต่อกันถึงบ้านท่านได้ครับ หากท่านเป็นคนของบริษัทธุรกิจเกษตรดังกล่าว เรามาเปิดเวทีสัมมนาเรื่องนี้กันดีไหมครับที่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผมสามารถติดต่อจัดเวทีสาธารณะเรื่องนี้ได้ เอาข้อมูลของบริษัท เอาข้อมูลของชาวบ้านที่ลาดนาเพียง และบ้านอื่นๆที่ทำ Contract farming แบบนี้มาคุยกัน และเอาผลงานวิจัย ของคณาจารณ์ทั้งหลายมาพูดคุยแลกเปลี่ยนได้ครับ
ด้วยความยินดีครับ คนบ้านลาด
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ เด็กบ้านลาดอีกคนหนึ่งที่เดินทางออกจากหมู่บ้านไปแต่ก็ห่วงใยทุกคน
.....มันเปนวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปตามยุคตามสมัย ค่าครองชีพที่สูงขึ้น
รายจ่ายที่มากขึ้น
ชาวบ้านก็ต้องทำอาชีพที่ต้องเลี้ยงครอบครัวเพื่อความอยู่รอดนะคะ
หากจะมาให้นั่งจับปลาหาปูกิน คงอดตายกันเป็นแน่ค่ะ
(อย่าลืมว่าค่าครองชีพมันสูงนะคะ) หากพวกคุณที่ทำวิจัยไปแล้ว
ทราบข้อมูลที่แท้จริงแล้ว ทำไมท่านถึงนิ่งดูดายไม่หาทางช่วยชาวบ้านหล่ะคะ
จะเป็นพระคุณอย่างสูง เพราะหนึ่งในจำนวนผู้ที่ปลูกมะเขือเทศนั้น
มีพ่อและแม่ของหนูด้วย...
อ่านจบแล้วทั้งบทความและทุกความเห็น
บ่มั่นใจในโตพ่อใหญ่อันนี้พอปานได่เจ่าว่าเจ่าเห็นใจชาวบ้านลาดนาเพียงแต่ฟังเบิ่งจากการตอบคำถามเจ่าพยายามเอา "เด็กบ้านลาดนาเพียง" กับ "คนบ้านลาด" มาหย่องไห่คะเจ่าผิดใจกันตั้วนั่น...(อันนี้ผิดหูข่อยแฮง)
ข่อยพุหนึ่งล่ะครับคนบ้านลาดฮักแพง หวงแหน ซุอย่างที่เป็นบ้านลาด....เฮ็ดหมากเขียเทศคือกันครับ...พ่อแม่เอี้ยยอ้ายพาเฮ็ดกะต้องเฮ็ด...เฮ็ดพอไห่มีเงินตื่มกัน...พอได่ไซ่ได่สอย...ซื้ออยากซื้อกิน...ใส่มือไห่ลูกไปโรงเรียน...เฮ็ดบุญเฮ็ดทาน...คือบ้านคือเมียงเพิ่น
เจ่าเว้ามากะถืกยุพ่อไหย่แต่บ่แม้นทั้งเหมิด...หมากเขียเทศมันบ่ได่เลวร้ายพอปานนั้นดอกพ่อไหย่...ถ่าเทียบกับการที่บ่มีพอไห่ได่อยู่ได่กิน...อันนี้เลวร้ายกั่วบักคักเลย...
ถ่าเจ่าเห็นใจฮึหวังดีอีหลีคือเจ่าว่า...เฮ็ดอิหยังจักอย่างที่มันแก้ปัญหาที่เจ่าว่าเจ่าเห็น...ไห่มันเป็นแบบบูรณาการเบิ่งดู้...
บ่ซั่นกะเซาวิพากวิจานวิถีชีวิตหมู่ข่อยซะ...หมู่ข่อยอยู่กันกะมีความสุขพออยู่พอกิน...ตามประสาชีวิตซาวไฮ่ซาวนาแบบหมู่ข่อยนั่นหล่ะ...
อ่านที่เจ่าเขียนแล้วมันขัดม่องฟังลำข่อยแฮง...พุอื่นที่บ่ฮู่จักมาอ่านกะคือสิว่าบ้านข่อยเป็นตาเหลียโตนแฮงฮาย...
บ่ปานนั้นดอกพ่อไหย่...บ้านข่อยเจริญกะด้อ...คนบ้านข่อยขะจอนขะจายไปสร้างซื่อเสียงสร้างคุณประโยชน์ต่อสังคมต่อประเทศซาติ...อยู่ทั่วทีป
ทบทวนเจตนารมย์แล้วกะวิธีการนำเสนอไห่ถี่ถ้วนก่อนี้เด้อพ่อไหย่
ด้วยความเคารพ
ไม่เป็นไรครับท่านครับ ผมขออภัยก็แล้วกัน หากที่กล่าวไปสาระไม่เข้าท่าก็ขออภัยท่านและชาวลาดนาเพียงก็แล้วกันนะครับ
ผมกล่าวแล้วว่า ผมเพียงแสดงความเห็นเป็นห่วงการใช้สารเคมีกับมะเขือเทศ หากท่านคิดว่าไม่มีปัญหาก็ไม่เป็นไรครับ เชิญท่านทำอย่างที่ทำมาต่อไปเถอะครับ
ผมนั้นเปิดเผยตัวตน โดยเข้าไปค้นประวัติผมได้ใน G2K แห่งนี้ หรือเข้าไปถาม admin ก็ได้ครับ ว่าผมอยู่ที่ไหน ทำอะไร หากท่านอยากพบผมก็ไปถามหาชื่อผมที่ RDI มหาวิทยาลัยขอนแก่นได้ครับ ก็ยินดีอย่างยิ่ครับ
ขออภัยอีกครั้งครับที่บันทึกนี้อาจจะทำให้ท่านและชาวบ้านลาดนาเพียไม่พึงพอใจก็ขออภัยครับ
ดิฉันก็เป็นคนที่หมู่บ้านค่ะ พออ่านข้อความของ คุณบางทราย ทั้งหมดแล้ว ก็รู้สึกอยากให้ความร่วมมือทันทีค่ะ เพราะพ่อแม่ดิฉันก็ปลูกอยู่เหมือนกัน และป่วยบ่อย หรือว่าดิฉันคิดไปเองไม่รู็นะ แต่พวกเขาไม่มีโรคประจำตัว ส่วนตัวดิฉันว่า ถ้าชาวบ้านมีอาชีพอื่นๆ หรือมีคนไปเสนอให้เขาทำอาชีพอื่นก็จะดีนะค่ะ แบบทำเป็นกลุ่มแม่บ้านก็ได้ ขนมหรืออาหาร หรือพวกผลไม้แปรรูปก็ได้ หรือรณะรงค์ให้ปลูผักปลอดสาร แต่ดิฉันไม่มีความสามารพอที่จะไปบอกคนทั้งหมู่บ้านได้ค่ะ เพราะยังเด็กอยู่และย้ายมาทำงานที่อื่นแล้ว อยากให้คุณบางทราย ช่วยหมือนกัน หมู่บ้านนี้อยู่อำเภอเมืองนะ แต่เหมือนไม่พัตนาเลย แห้งแล้งมากค่ะ ปล.อยากให้บ้านเราร่มรื่น มีน้ำใช้ตลอดทั้งปี มีอาชีพที่สืบทอดให้ลูกหลานได้