เผชิญหน้าม็อบ


เมื่อตอนที่ยังไม่พ้นจากหน้าที่ราชการ  ผมต้องเดินทางผ่านถนนข้างทำเนียบรัฐบาล
เป็นประจำเพื่อมาที่กระทรวงศึกษาธิการ  ข้างทำเนียบรัฐบาลคือถนนพิษณุโลก  ซึ่งก็มีความกว้าง
พอสมควร  แต่บางวันรถก็ติดเดินทางไม่สะดวก  ปัญหาคือจะมีกลุ่มคนมาชุมนุมเพื่อเรียกร้องบางสิ่งบางอย่างจากรัฐบาล  เขาเหล่านั้นบางที่ก็ชุมนุมกันข้างถนน บางทีก็ล้ำเส้นลงไปบนถนน ทำให้พื้นที่ถนนเหลือน้อยลง  รถราเลยผ่านไปไม่สะดวก  บางครั้งยึดถนนเป็นที่หลับที่นอนเลยก็มี

                        ผมผ่านและเห็นบ่อย ๆ บางทีก็สังเกตเห็นอะไรแปลก ๆ ดี  ที่รู้สึกเดือดร้อนรำคาญ
ก็มีบ้างเป็นธรรมดา  แต่ที่รู้สึกเวทนาสงสารก็บ่อย  เขาคงต้องมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจจริง ๆ จึงสู้บากบั่นมาปักหลักชุมนุมกันอย่างนั้น  บางคณะอยู่กันเป็นเดือน  หรือหลาย ๆ เดือนก็มี  ไม่รู้เขาอยู่กันได้อย่างไร  กลางวันก็ร้อนระอุ  พื้นถนนก็ร้อน  หากฝนตกก็เปียกหาที่หลบฝนได้ยาก  กลางคืนยุงก็ชุม  ไหนจะต้องมีที่ให้ทำภารกิจส่วนตัวที่จำเป็น  ตลอดจนภารกิจเรื่องอาหารการกินต่าง ๆ ทุกวันด้วย

                        ทางฝ่ายผู้ถูกชุมนุมร้องเรียนก็เดือดร้อน ไหนจะต้องชี้แจงสื่อมวลชนให้เข้าใจ ไหนจะต้องเจรจากับผู้ร้องเรียนซึ่งก็มักจะยากที่จะเข้าใจกันได้  ถ้าเป็นส่วนราชการก็จะถูกฝ่ายการเมืองเร่งรัดให้แก้ปัญหาโดยเร็ว  แต่ก็มักไม่ยอมให้รัฐเสียประโยชน์  บางคราวผู้ชุมนุมก็แสดงอารมณ์พูดจารุนแรง  จะแรงจริงหรือแรงไม่จริงก็ยากจะรู้ได้  คนทำงานก็เลยสาละวนไม่เป็นอันกินอันนอน  งานการอื่น ๆ ก็หยุดชะงักไป

                        ทั้งหมดนี้ผมคิดเอา เดาเอา  อาจไม่เป็นอย่างนี้ก็ได้  แต่คราใดที่ได้เห็นคนมาชุมนุม หรือภาษาสื่อมวลชนเรียกว่า ม็อบ  ผมก็อดคิดถึงคราวที่ต้องเผชิญมาด้วยตนเองไม่ได้   ผมคิดว่าตัวเองโชคดีที่การชุมนุมซึ่งผมต้องเผชิญนั้นไม่สลับซับซ้อนเหมือนการชุมนุมที่ข้างทำเนียบรัฐบาล  และทุกครั้งเหตุการณ์ก็ผ่านไปด้วยดี  ผมอยากจะเล่าเรื่องการชุมนุมหรือม็อบที่เคยประสบมา

                        ครั้งแรกที่เผชิญคือเมื่อครั้งที่อยู่กรมการศาสนา วันนั้นอากาศแจ่มใสดีมาก งานราชการก็ดำเนินไปตามปกติไม่มีวี่แววว่าจะมีเหตุการณ์ใด ๆ เกิดขึ้น  เวลาประมาณเก้าโมงเศษ ๆ เจ้าหน้าที่ก็มารายงานว่า มีคนมาชุมนุมเดินขบวน  ผมถามว่าที่ไหน  เขาตอบว่าเข้ามาในกระทรวง  ชุมนุมเรื่องอะไร  ผมถามต่อ   ได้ข่าวว่าเรื่องวัด  เจ้าหน้าที่ตอบ  อีก 2-3 นาทีต่อมา เจ้าหน้าที่อีกคนก็กระหืดกระหอบ
เข้ามาบอกว่า อธิบดีหนีเร็ว  พวกเดินขบวนมาถึงหน้ากรมแล้ว    มีกี่คน ผมถาม  สัก 300 คนได้ 
เจ้าหน้าที่ตอบ   จะให้ผมหนีไปไหนล่ะ    ไปที่ไหนก็ได้  อย่าให้เขาเห็น  ผมตอบว่า ผมหนีคนไม่เป็น
เสียด้วยซี  แล้วผมก็เดินออกไปที่ระเบียง  เห็นคนมาชุมนุมหลายคนพอสมควร  ผมขอให้เจ้าหน้าที่ลงไปถามว่าเขามีความประสงค์อะไร  เจ้าหน้าที่ลงไปสักครู่ขึ้นมารายงาน  เขาอยากพบอธิบดี  จะกล่าวหาพระปาราชิก  ผมคิดสักครู่แล้วก็บอกไปว่า ขอเชิญเขาขึ้นมาพบผมได้ที่ห้องประชุม  แล้วผมก็สั่งให้เปิดห้องประชุม  เปิดเครื่องปรับอากาศพร้อมสรรพ  และให้หาน้ำเย็นมาเลี้ยงทุกคน  ผมสั่งไปโดยไม่คิดอะไรเท่าไร  ปรากฏว่าผู้มาชุมนุมกลับไม่ค่อยกล้าขึ้นมาห้องประชุม  ขอนั่งพักอยู่ข้างล่าง  ที่ขึ้นมาเป็นกลุ่ม
ผู้นำสัก 20 คน  ผมต้อนรับเขาอย่างดี  พอถามเขาว่าเขามีอะไรจะมาร้องเรียนบ้าง  หัวหน้าก็บอกว่า อธิบดีต้อนรับดีอย่างนี้พูดอะไรไม่ค่อยออก  สรุปข้อกล่าวหาคือ ประชาชนกลุ่มที่มาไม่ค่อยพอใจ
เจ้าอาวาส  จะขับไล่ด้วยข้อกล่าวหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ว่าเงินทำบุญขาดบัญชี  ขาดไปเกินห้ามาสก
ต้องอธิกรณ์ถึงขั้นปาราชิก (ห้ามาสกประมาณห้าบาท) จะขอให้ยกพระอีกรูปหนึ่งขึ้นเป็นเจ้าอาวาสแทน  ซึ่งพระรูปนี้ก็ถูกกล่าหาว่าไม่ปฏิบัติตามระเบียบคณะสงฆ์  ถูกเจ้าคณะจังหวัดสอบสวนอยู่  เรื่องจึงดูคล้ายกับว่ากลุ่มที่มาต้องการปกป้องพระที่ถูกสอบสวนมากกว่า  แต่ผมก็รับเรื่องราวทั้งหมดและรับว่าจะตรวจสอบเร่งรัดเรื่องให้  ผู้ที่มาก็ดูท่าว่าจะพอใจ  นั่งคุยกันสักพักเขาก็บ่นว่าห้องประชุมหนาว  ก็คงจะหนาวหรอก  เจ้าหน้าที่เปิดเครื่องปรับอากาศแรง  ผมเองยังหนาวเลย  ไม่ช้าพวกที่มาก็ขอตัวกลับ  ทุกสิ่งทุกย่างก็เรียบร้อย

                        ผมได้รับบทเรียนว่า การเผชิญหน้าอย่างจริงใจด้วยไมตรีจิต  ช่วยทำให้บรรยากาศ
ดีขึ้นมาก  ผมไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าผมหนีไป

                        อีกคราวที่ผมเผชิญกลุ่มคน  ก็เมื่อครั้งเป็นรองปลัดกระทรวงฯ  ตอนนั้นผมรับผิดชอบวางแผนเรื่องการรับนักเรียนเข้าเรียน  ที่สำคัญคือผู้จบประถมจะเรียนต่อมัธยมศึกษา  ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อยจนกระทั่งมีการรับนักเรียน  ให้รับเด็กใกล้โรงเรียนก่อน  ถ้าเด็กเกินก็จับฉลาก  ตรงนี้ก็ไม่มีปัญหา  ต่อมาให้สอบทั่วไป  สอบแล้วก็ไม่มีปัญหา  แต่พอถึงคราวรายงานตัวพวกสอบไม่ได้จำนวนหนึ่งก็นัดกันมาชุมนุมที่กระทรวงฯ  เรียกร้องให้โรงเรียนขยายการรับเพิ่มเติม  ผมได้ข้อมูล
ภายหลังจากผู้ปกครองว่า   ถ้ากระทรวงอนุญาตให้รับเด็กเพิ่มได้  ลูกเขาก็จะมีโอกาส  พวกที่มา
เรียกร้องเป็นพวกพลาดหวังจากโรงเรียนดัง ๆ ทั้งนั้น  พอคนมาชุมนุมมากขึ้น  เจ้าหน้าที่ก็มารายงานว่า  มีคนชุมนุมมาก  เกรงจะมีปัญหา  ขณะนี้ผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องไม่มีใครอยู่เลย  รัฐมนตรีไม่อยู่ 
ปลัดกระทรวงไม่อยู่  อธิบดีที่เกี่ยวข้องไม่อยู่  ถามว่าผมจะลงไปพบไหม  เพราะไม่ใช่หน้าที่ของผม
โดยตรง  แต่ก็ไม่เชิง  เพราะผมเป็นผู้ทำแผนรับนักเรียน  ในที่สุดผมก็ตัดสินใจลงไปพบ   แล้วขอให้
เจ้าหน้าที่จดบันทึกปัญหาของแต่ละคนไว้ และผมเองก็แวะเวียนไปพูดคุยกับผู้ปกครองหลายคน พอรู้ว่าผมเป็นใครก็ต่อว่าต่อขานยกใหญ่  ผมก็ยิ้มสู้เข้าไว้  จนหลายคนใจอ่อน  สุดท้ายก็คุยกันด้วยดี  ผมแสดงความเห็นใจเขาและรับปากว่าจะหาที่เรียนให้ทุกคน  แต่อาจไม่ได้โรงเรียนดัง ๆ ตามที่ต้องการ  มีอยู่
คนหนึ่งมาตีสนิทพูดคุยด้วย  ผมถามว่าเขาทำอาชีพอะไร  เขาตอบว่าเขาทำอาหารขาย  ผมก็แสดงความเห็นใจว่าเขามานี่ก็ต้องหยุดทำอาหาร  น่าเสียดาย  ถามว่าร้านเขาอยู่ที่ไหน  วันหลังผ่านไปจะได้แวะไปอุดหนุน  เขาก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่  คุยว่าเขาทำน้ำพริกอร่อย  อยากให้ผมลองชิมบ้าง  แล้ววันรุ่งขึ้น

เขาก็เอาน้ำพริกปลาทูชุดใหญ่มาฝากผมถึงห้อง ทำให้หลายคนอิ่มท้องสบายไป  ผมถามว่าลูกเป็น
อย่างไรบ้าง  เขาตอบว่ากำลังรอคำตอบอยู่ คิดว่าน่าจะได้  ตอนนี้สบายใจแล้ว เลยเอาอาหารมาเลี้ยงรองปลัดฯ

                        ผมคงสรุปบทเรียนครั้งนี้ว่า  ผู้มีทุกข์เมื่อเราช่วยเหลือเขาเต็มที่แล้วเขาก็ผ่อนทุกข์ได้  คนมาชุมนุมส่วนใหญ่เขามีจิตใจดีงาม  เขาต้องมาเรียกร้องเพราะไม่รู้จะพึ่งใครเท่านั้นเอง

                        ผมควรจะจบเท่านี้  พอดีคิดถึงเรื่องแก้ปัญหาพระ “ยันตระ” คราวถูกกล่าวหาว่าปาราชิก  จึงขอเล่าต่ออีกเล็กน้อย

                        พระยันตระ  ถูกกล่าวหาว่าปาราชิก  ล่วงละเมิดทางเพศสตรี  มีการสอบสวนความผิดทางวินัย พระเรียก นิคหกรรม  เมื่อถูกเรียกมาสอบ ก็มีผู้สนับสนุนฝ่ายพระติดตามมาปกป้อง โดยเชื่อว่าพระไม่ผิดจริง  ถูกมารศาสนากลั่นแกล้ง  ผมเป็นอธิบดีไม่รู้ว่าใครผิดใครถูก  ต้องทำงานอำนวย
ความสะดวกในการสอบสวนตามหน้าที่  สื่อมวลชนก็ประโคมข่าวกันทุกวัน  ผมเองก็ต้องให้สัมภาษณ์
ออกข่าวทุกวัน  วันละ 3 ครั้ง  วันหนึ่ง ณ สถานที่สอบสวนพระ  คณะผู้ติดตามพระก็มากันมากมาย  ล้วนนุ่งขาวห่มขาว นั่งล้อมรอบบริเวณเป็นพันคน  ผมเห็นเขานั่งก้มหน้าลักษณะนั่งสวดมนต์ภาวนากันทุกคน  ด้วยความอยากรู้  อยากได้ยินว่าเขาสวดมนต์บทไหน คงจะสวดอ้อนวอนเพื่อช่วยให้พระพ้นผิดเป็นแน่  ผมเลยเข้าไปนั่งตรงกลุ่มพวกนุ่งขาวห่มขาว  ไปนั่งเฉย ๆ ไปนั่งฟังคำสวดมนต์  แล้วผมก็
ลุกแทบไม่ทัน  เพราะเขาไม่ได้สวดมนต์กัน  เขากำลังนั่งแช่งชักหักกระดูก คนที่มากล่าวหาว่าพระทำผิด  ด้วยถ้อยคำรุนแรง ต่าง ๆ นานา  เช่น ขอให้ตายโหง ตายห………

                        ผมไม่ควรไปนั่งฟังเขาเลย  ไม่รู้ว่าพวกคนที่ถูกเขาแช่ง  เขารวมผมเข้าไปด้วย
หรือเปล่า !?

 

พนม  พงษ์ไพบูลย์

29  เมษายน  2545
หมายเลขบันทึก: 101510เขียนเมื่อ 7 มิถุนายน 2007 16:49 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 18:55 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
  • เหมือนเคยอ่านชุดนี้แล้ว
  • อยู่ในการศึกษาคือ ยาหม้อใหญ่ใช่ไหมครับ
  • ขอบคุณครับผม
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท