กับก้าวแรกที่เหยียบผืนแผ่นดินแห่งอิสรภาพ “Yes, I come to study MBA at San Francisco State University” สำเนียงสะเหล่อมากครับจนด่านตรวจคนเข้าเมืองต้องกัดฟันให้ผมผ่านเข้าประเทศไป ผมจำได้ว่าคืนแรกในอเมริกานั้นหนาวมาก ไม่มีทั้งผ้าปูที่นอนและผ้าห่ม (เนื่องจากไม่กล้าไปขอฝรั่งที่คุมหอพัก ก็เลยต้องนอนขดไปอย่างงั้นแหละครับ) ผมใช้ชีวิตเดือนครึ่งอยู่ในโลกกะทัดภายในกรอบของตึกเรียน หอพัก และโรงอาหาร จนจบคอร์สภาษาสั้นๆ ภาคฤดูร้อน และมีเรื่องที่พออวดได้ก็คือการได้รับเลือกให้เป็นผู้กล่าวคำอำลากับนักเรียนนานาชาติในวันสำเร็จการศึกษา สิ่งที่ได้จากการเรียนครั้งนี้ก็คือ ใบประกาศนียบัตรหนึ่งใบ กับเพื่อนชาวญี่ปุ่นสองสามคนที่ยังคบมาจนถึงปัจจุบัน (หรือเปล่า รู้สึกไม่ได้ติดต่อมาปีสองปีแล้ว)
โรงเรียนในหมอก ที่ซึ่งผมใช้ชีวิตอยู่ถึงสองปี ที่นอนแห่งที่สองถัดจากที่พักของผม ผมใช้เวลาส่วนมากอยู่ในห้องสมุดชั้น 4 ที่ไม่ค่อยมีคน ผมก็อ่านหนังสือบ้าง หลับบ้าง ค้นคว้าบ้าง มันเป็นที่เดียวในซานฟรานซิสโกที่ทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจและปลอดภัยจากสังคมภายนอก เจ็ดวันในหนึ่งอาทิตย์ผมอุทิศให้กับการเรียนหนังสือ แต่เชื่อไหมหละครับว่าคนสันโดษอย่างผมได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานนักเรียน ต้องทำหน้าที่ประสานงานระหว่างโรงเรียนและนักเรียนไทย ผมได้รู้จักคนเยอะแยะด้วยตำแหน่งหน้าที่นี้ ไม่เฉพาะชาวต่างชาติยังมีทั้งนักศึกษาไทยต่างโรงเรียนอีกด้วย แต่ผมทำหน้าที่ไม่ค่อยดีเท่าไรหรอกนะครับ โดยเฉพาะเรื่องเหล้า บาร์ อบายมุข ไม่ค่อยสันทัดสักเท่าไรนัก เลยเป็นประธานที่ไม่ค่อยดีเท่าไร จริงๆ ในใจก็แอบประท้วงว่า ทำไมเข้าสังคมต้องกินเหล้ากันด้วย ไม่เข้าใจ กินเหล้าแล้วเมาอย่างหมา (มันเท่ห์ตรงไหน ฟะ) แต่ถ้าใครจะกินแต่พอดี ร่ำสุราเคล้าบรรยากาศก็เช่นเถอะครับ ไม่ได้ห้าม แต่อย่าชวนผมแล้วกัน อโหสินะ
เพื่อน ปัจจัยสำคัญที่หล่อหลวมเราให้เป็นเรา ต้องยอมรับครับว่าการมาอาศัยอยู่ต่างแดน มันเหงาและว้าแหว่เลยทีเดียว มนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์สังคมเลยต้องมาเกาะกลุ่มกัน โดยเฉพาะคนไทยเรารักกันครับ เกาะเป็นกลุ่มเป็นก้อนเหนียวแน่นใช้ได้ เราใช้ชีวิตเรียนหนังสือตอนเย็นๆ กลางคืนๆ เพราะตอนกลางวันไม่มี class ให้เรียน ส่วนใหญ่เป็นของพวก undergrad แล้วพอเรียนเสร็จ ก็หาข้าวกิน ไปเดินซูปเปอร์บ้าง ห้างยอดฮิตของพวกเราคือ Saveway และ Albertsons จินตนาการประมาณ Lotus แถวนี้หนะครับ บางวันก็ไปจับกลุ่มกันทำอาหาร ดูหนังบ้างเป็นค้างคาว (เพราะเข้าไปดูสักสามสี่เรื่องควบ ออกมาท้องกิ่วเป็นค้างคาว) ก็ใช้ชีวิตหมดไปวันๆ ดีครับ แต่การที่เราได้มาอยู่รวมกันทำให้เราได้ศึกษาคนใกล้ชิด ได้รู้จักและเรียนรู้กันมากขึ้น บางคนก็ดี ดีมาก ดีม๊ากกมายย ไม่รู้จะบรรยายยังไง ก็ต้องขอบคุณเพื่อนๆ ไว้ ณ ที่นี้ด้วย ที่เป็นส่วนดีๆ ในชีวิตผม
นอกจากกิจกรรมเหล่านี้ ผมก็มีโอกาสได้ทำงานล่วงเวลาเป็นเว็บมาสเตอร์ให้โรงเรียน และติวเตอร์สอนภาษาไทยให้กับอาจารย์ท่านหนึ่งด้วย แม้ผมจะใช้ชีวิตเมืองนอกไม่คุ้มเท่าใครต่อใครที่เค้าได้ลองได้เล่นได้ทำอะไรที่ไม่สามารถทำในเมืองไทยได้ แต่ผมก็ภูมิใจในตัวเองที่สามารถมาเรียนให้ป๊าม้าได้ เพราะการมาเรียนครั้งนี้ผมรู้ว่าป๊าม้าต้องเสียเงินไปเยอะ แต่ป๊าม้าก็ไม่เคยคิดว่ามันจะคุ้มไหมหรือเรียกคืนได้เมื่อไร ท่านเพียงบอกว่านี่เป็นสมบัติสิ่งเดียวที่จะให้กับผมได้ ส่วนที่เหลือขึ้นอยู่กับตัวผมเองว่าจะสามารถสร้างมันได้แค่ไหน ท่านบอกว่าคงไม่มีทรัพย์สินอื่นใดจะให้ผม แม้แต่ธุรกิจที่ทำอยู่ แม้ผมจะเกิดมาในครอบครัวนักบัญชี แต่ผมก็ไม่เคยคิดจะมาทำบัญชีเลยเพราะม้าปลูกฝั่งไว้ตั้งแต่เด็กให้ไปหาอาชีพอื่นทำ และจังหวะชีวิตก็ได้พาผมให้มารู้จักกับคอมพิวเตอร์ ให้ผมได้เข้าศึกษาปริญญาตรีคอมพิวเตอร์ ได้ทำงานในองค์กรเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และได้มาเรียนต่อเมืองนอกครั้งนี้ ผมกล้าพูดเลยว่าป๊าม้าปูพื้นฐานให้ผมได้ไม่แพ้ใคร ขอบคุณครับป๊าๆ หม่าม้า \\[^_^]//
วันที่เจ็ดเดือนมิถุนายนอีกสองปีผ่านมา ขณะนี้ผมกำลังนั่งอยู่ที่สนามบินนานาชาติซานฟรานซิสโก การเดินทางมาศึกษาต่อก็ได้สิ้นสุดลง ผมกำลังจะกลับบ้านพร้อมกับปริญญา MBA ระยะเวลาสองปีที่ผ่านไปนั้นช่างสั้นนัก เหตุการณ์หลายอย่างทั้งดีและร้ายได้เกิดขึ้นกับตัวเอง ผมยอมรับว่าการมาเรียนต่อครั้งนี้ได้เปลี่ยนทัศนคติของผมไปค่อนข้างมาก การได้มาอยู่กับตัวเอง ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง (แฝงด้วยกำลังใจและกำลังเงินจากทางบ้าน) ได้ทำให้มุมมองของผมกว้างขึ้น โลกกะทัดของผมเปลี่ยนไป พร้อมกับแนวการใช้ชีวิตแบบใหม่ แบบสบายๆ สไตล์อเมริกันที่ติดตัวมาด้วย แต่ยังไรก็ตามผมก็ยังเป็นห่วงกับอนาคตข้างหน้า อนาคตหลังจบการศึกษา อนาคตที่ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองจริงๆ ผมมีเป้าหมายและความมุ่งหวังอันยิ่งใหญ่อยู่ในใจลึกๆ ถึงหนทางจะยาวไกลแค่ไหน มีอุปสรรคเพียงใด ผมก็ตั้งใจพร้อมจะฝ่าฟันไปให้ถึงที่สุดครับ
สนุกดีจังค่ะ แต่ถ้าพอมีเวลาอยากให้ลงรายละเอียดเรื่องราวระหว่างที่กำลังเรียนอยู่ คงจะสนุกดีนะค่ะ
:)