อย่ากลัวเหนื่อยในการทำงาน เพราะในความเหนื่อยนั้น เราได้ทั้งความรู้ ประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญในงาน และที่สำคัญที่สุด คือศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ของเราที่เราสามารถ พึ่งพาตัวเองได้ สามารถนำตัวเองไปสู่สังคมที่เสมอหน้ามากขึ้น
.”เราเป็นเมียทหาร แต่เราไม่นับขวด เราจะนับแบงค์
เราจะพึ่งพาตัวเองและช่วยครอบครัวให้เป็นสองแรงแข็งขันให้ได้
ไม่ต้องไปนั่งเฝ้าพ่อเจ้าประคุณ ตอนเงินออกทุกเดือน”
นี่เป็นคำพูดของดิฉัน ที่ไปพูดให้แก่แม่บ้านทหารชั้นผู้น้อย ที่กองพลทหารราบที่ 9 ค่ายสุรสีห์ เมื่อหลายปีก่อน เพื่อชักชวนให้พวกเขารวมกลุ่มกันมาทำงานข้างนอกกรมทหาร โดยมาทำงานที่โรงงานอุตสาหกรรมอาหารของดิฉัน ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก กว่าจะชักชวนมาได้ ก็เล่นเอาเหงื่อตก เทียวไปมาหลายหนเหมือนกัน เพราะการจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมความเคยชิน และค่านิยมของคน ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย
เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อดิฉันไปตั้งโรงงานใหม่ๆที่ อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี เราเปิดสายการผลิตหลายสาย เพราะไปทำการตลาดไว้ล่วงหน้าแล้ว จึงต้องใช้กำลังคนมาก จังหวัดนี้ เป็นจังหวัดใหญ่ก็จริง แต่ ประชากรอาศัยอยู่กัน กระจัดกระจายมาก การเดินทางมาทำงาน ค่อนข้างไกล พนักงานต้องมีรถจักรยานยนต์แทบทุกคน ถ้าไม่มีก็ต้องมารถสองแถว จึงเกิดปัญหา กำลังคนไม่พอ ต้องไปหาจากอำเภอไกลๆ โดยมีรถ 2 แถว รับส่ง และเราออกค่ารถให้
ดิฉัน จึงขออนุญาต ผู้บังคับกองพล ขอเข้าไปเยี่ยมท่าน ซึ่งท่านก็กรุณาพาชมกิจกรรมต่างๆของกองพล ซึ่งเป็นที่น่าตื่นใจในขอบเขตอันกว้างใหญ่และจำนวนประชากรที่มากมาย นับเป็นจำนวน หมื่นขึ้นไป ในการนี้ ดิฉันสังเกตว่า ช่วงเวลากลางวัน ตั้งแต่ ประมาณ 9 นาฬิกาเศษ เป็นต้นไป จะมีแม่บ้าน มากมาย ออกมาชุมนุมกัน ที่ใต้ถุนแฟลต หรือที่ ลานเอนกประสงค์ต่างๆ โดยอุ้มลูกจูงหลานไปด้วย พูดคุยกันไปตามเรื่อง จนกว่าจะถึงเวลา ไปประกอบอาหาร จึงจะแยกย้ายกันไป ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 20-35 ปี
พอดี วันที่ดิฉันไปสังเกตการณ์เป็นวันเงินออก ช่วงบ่าย จะมีแม่บ้านมากมาย เกือบจะทุกบ้าน ไปอออยู่ที่ สถานที่จ่ายเงิน เพื่อรับเงินแทนสามี ได้สอบถาม เจ้าหน้าที่แล้ว เขาว่า เป็นเรื่องปกติของที่นี่ จนจะเป็นประเพณีแล้ว
ดิฉันจึงได้เรียนถามท่านผู้บังคับกองพลว่า ถ้า ดิฉัน จะชักชวนพวกเขาไปทำงาน จะผิดกฏอะไรไหม พวกแม่บ้านจะได้มีรายได้เพิ่มขึ้น ช่วยครอบครัวอีกแรง อีกทั้ง เวลาตนเอง อยากได้อะไร เป็นพิเศษ ก็ไม่ต้องขอจากสามี ซึ่งในความเห็นของดิฉัน เห็นว่า เป็น อิสระภาพอันยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง ที่เราสามารถพึ่งพาตนเองได้ ท่านผู้บังคับกองพลไม่ขัดข้อง แต่ ดิฉันและทีมงาน ต้องมาพูดกันเอง
ต่อมา ดิฉันจึงให้ทีมงานเตรียมเอกสาร เป็นแผ่นพับ 1 หน้ากระดาษ เอ 4 ไปแนะนำตัวบริษัท และขอนัดหมาย ประชุมทั้งหมดทุกคน โดยดิฉัน จะเป็นผู้ไปพูดเอง ในวันนัดหมาย มีแม่บ้านเข้ามารับฟังจำนวนมากประมาณ 500 คน ด้วยความกระตือรือร้น เพราะทีมงานเรา ได้ไปประชาสัมพันธ์ล่วงหน้าไว้ 2-3 ครั้งแล้ว
โดยสรุปคือ ดิฉันเริ่มต้นว่า ดิฉันรู้สึกประทับใจอย่างยิ่งในวิถีชีวิตอันน่ารักอบอุ่น สมัครสมานสามัคคีอย่างดียิ่งในหมู่แม่บ้านทั้งหลาย แต่เราจะคิดบ้างไหม ว่า แม้เราเป็นหญิง เราก็มีศักยภาพไม่ด้อยไปกว่าชายแม้แต่น้อย เราคงจะไปใช้แรงมากๆอย่างชายไม่ไหว เพราะติดที่สภาพสรีระของเรา แต่งานละเอียดนุ่มนวลกว่า ชายก็ทำไม่ได้เหมือนกัน เราเก่งกันคนละอย่าง แต่ถ้าเทียบกันแล้ว เราเก่งกว่าอีก
ตอนนี้ มีเสียงเฮดังขึ้นอย่างถูกใจมาก ทำให้ดิฉันคิดว่า กำลังปลุกระดมอะไรบางอย่าง เลยยิ่งได้กำลังใจ พูดใหญ่ มีเสียงตบไม้ตบมือ เชียร์กันน่าดู เมื่อพูดถึงความเก่งของผู้หญิง ที่สามารถเอาเงินเดือนสามีมาเก็บไว้กับตัว ได้ทุกเดือน
ดิฉันเน้นว่า อย่ากลัวเหนื่อยในการทำงาน เพราะในความเหนื่อยนั้น เราได้ทั้งความรู้ ประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญในงาน และที่สำคัญที่สุด คือศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ของเราที่เราสามารถ พึ่งพาตัวเองได้ ไม่ต้องมาคอยเกาะขาเกาะแขนออดอ้ออนจ๊ะจ๋าใคร ถ้าเขายังรักเรา กิริยานี้ก็ดูน่ารัก แต่ถ้าเขาเกิดหมดรักเราล่ะ คงดูไม่จืดล่ะคราวนี้
และอย่ากลัวว่า จะไม่มีเวลาว่างเพื่อการสนุกสนาน เพราะการงานและเวลาว่างจะเป็นส่วนเติมเต็มให้กันและกัน ในกระบวนการดำเนินชีวิต พวกเราจะมีความสุขในการทำงานและมีความยินดีปรีดาในยามว่างเช่นเดียวกัน
ท้ายสุดของการปลุกใจ ปลุกศักดิ์ศรีของลูกผู้หญิง ให้พวกเขามีทางเลือกใหม่ ไม่จำเป็นต้องเดินตามรอยเดิม ยกระดับตัวเองไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น ดิฉันได้ใจเขาเหล่านั้นมากพอควร มีกลุ่มแม่บ้านมาทำงานกับเราเกือบสองร้อยในช่วงแรก และเพิ่มขึ้นๆอีกในระยะต่อมาจนกระทั่งทุกวันนี้
ทั้งหมดนี้ ก็เพื่อที่จะเล่าว่า เรื่องนี้เป็นหนึ่งในประสบการณ์ชีวิตที่ดิฉันภูมิใจ ที่มีโอกาสได้ช่วยเหลือชุมชนแห่งหนึ่งจำนวนไม่น้อย ให้ได้โอกาสและสามารถใช้โอกาสเป็น เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในด้านรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำในด้านความรู้ ใช้ความรู้และสติปัญญาในตัวเองให้สามารถทำงานได้ดี และพัฒนาไปได้เรื่อยๆ มีงานการที่มั่นคงทำ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ให้ได้อยู่ในสังคมที่เสมอหน้า สบตาทุกคนได้ ด้วยเพราะมีความภาคภูมิใจในตนเอง และที่สำคัญ ลดความเหลื่อมล้ำในด้านศักดิ์ศรี ของความเป็นมนุษย์และมีเสรีภาพ ไม่ต้องจับเจ่าอยู่แต่กับบ้าน โดยมีเพดานที่มองไม่เห็นกดทับไว้ทุกเมื่อเชื่อวัน