เมื่อคราวที่แล้วเราได้เข้าชมนครวัดผ่านทางเดินและโคปุระอันใหญ่โตก้าวเข้าสู่ปราสาทชั้นที่หนึ่งซึ่งเป็นระเบียงยาวผนังเป็นภาพสลักอันวิจิตรบรรจง ยาวต่อกันตลอดทั้งสี่ด้านรอบปราสาท ซึ่งยาวมากไม่สามารถเดินดูได้หมดในเวลาอันจำกัด ภาพสลักเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระนารายณ์ (พระวิษณุ ) ปางต่างๆ เช่น ตอนกวนเกษียรสมุทร จนถึงเรื่องรามเกียรติ์ เรื่องมหาภารตะยุทธ์ และกองทัพของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ผู้สร้างนครวัด
ภาพสลักเหล่านี้มีคำอธิบายเป็นระยะ ๆ เรียกว่าห้องภาพ เป็นห้องๆ แต่เป็นภาพต่อเนื่อง ไม่ได้มีเส้นมาแบ่งเขตอะไร ภาพพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ท่ามกลางกองทัพอันเกรียงไกร อันมีกองทัพจากชนชาติต่างๆ มีห้องหนึ่งบรรยายว่ามาจากเมืองสุพรรณบุรีเมืองกาญจนบุรี และที่สะดุดใจอย่างมากคือห้องที่บรรยายว่ากองทัพจากเสียกุ๊ก เสียม ก็คือ สยาม กุ๊ก ก็คือ ก๊ก หรือ กลุ่ม แต่ต้องนึกย้อนว่าสมัยอาณาจักรขอมโบราณนั้นยังไม่มีประเทศไทยนะ มีแต่อาณาจักรโบราณต่างๆ เช่น อาณาจักรเชียงแสน ทวารวดี ศรีวิชัย ฯลฯ แม้แต่อาณาจักรสุโขทัยก็ยังไม่เกิดขึ้น แต่ก็คงเป็นชนชาติที่เป็นบรรพบุรุษของพวกเรานั่นแหละ นอกจากนี้คำว่าขอม ก็ไม่ใช่คำที่ชาวเขมรเรียกตนเอง เช่นเดียวกับคำว่าเขมร อย่างที่เคยกล่าวไว้แล้วว่าเขาเรียกตนเองว่า ขแมร์ นักประวัติศาสตร์กำลังศึกษาเกี่ยวกับคำว่า ขอม ว่ามีที่มาและความหมายอย่างไร ภาพสลักเหล่านี้สวยงาม ออกแบบได้อย่างน่าทึ่งเป็นที่สุด ! ภาพที่ถ่ายมานั้นสะท้อนความสวยงามน้อยกว่าชมจากสถานที่จริงอยู่มาก
ระเบียงภาพสลักทั้งสี่ด้านนี้มีทางออกไปสู่ปราสาทชั้นที่สอง ซึ่งเป็นชานชาลารูปสี่เหลี่ยมตรงกลางเป็นปราสาทชั้นที่สองซึ่งสูงมากต้องขึ้นบันไดไปอีก เป็นระเบียงยาวมีปรางค์อยู่ทั้งสี่มุม มีรูปสลักพระวิษณุ รูปสลักนาง อัปสราสวยงาม นครวัดนี้มีนางอัปสรามากมายประมาณสองพันกว่ารูป แต่ละรูปไม่ซ้ำกันเลย ! มีอยู่รูปหนึ่งที่ถูกลูบอยู่ส่วนหนึ่งโดยเฉพาะจนเห็นชัด มีตำนานว่าสาวเขมรคน หนึ่งมารูปส่วนนี้และอธิษฐานให้สวยเหมือนนาง อัปสรา คนอื่นๆ ก็ทำตามกันใหญ่ สงสัยจะได้ผล ! นางอัปสราก็เลยดำไปเลย เชิญดูรูปเอานะจ๊ะ
ปราสาทชั้นที่สองที่เป็นระเบียงยาวสี่ด้าน ตรงกลางคือปราสาทชั้นที่สามเป็นปรางค์องค์ใหญ่ ต้องปีนบันไดที่แคบและสูงชันมากขึ้นไปถือว่าเป็นสวรรค์ชั้นเจ็ด เป็นที่สถิตย์ของเทพเจ้าตามศาสนาฮินดู ภายในมีแท่นศิลา เล่ากันว่าเดิมมีรูปสลักพระวิษณุแต่ปัจจุบันไม่มีแล้ว
ปราสาทนครวัดนั้นทั้งสวยงาม ใหญ่โต มหัศจรรย์ที่สร้างด้วยสองมือของมนุษย์ แต่เป็นไปตามอำนาจบังคับจากกษัตริย์ ส่วนนครธมนั้นสร้างด้วยศรัทธาของประชาชนต่อพระเจ้าชัยวรมันที่เจ็ด เราใช้เวลาชมนครวัดประมาณเกือบๆ สามชั่วโมง ชมได้เพียงคร่าวๆ ควรมามากกว่าหนึ่งวันถ้าจะดูให้ละเอียด แต่แค่นี้ก็สมกับที่เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์จริงๆ ให้มาอีกครั้งก็ยินดี ใครยังไม่เคยมาขอแนะนำให้มาให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต ……See Angkor then die !
ชมนครวัดแล้วยังมีสถานที่น่าชม น่าทึ่ง อื่นๆ อีก ติดตามชมต่อคราวหน้าเช่นเคยนะจ๊ะ …..
รูปสลักพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2
รูปสลักกองทัพจากเสียมกุ๊ก
ปราสาทนครวัดชั้นที่ 2
ปรางค์องค์หนึ่งของยอดปราสาทชั้นที่ 2
ทางขึ้นอันสูงชันสู่ปราสาทชั้นบนสุด
นางอัปสราที่ปราสาทชั้นสอง
นางอัปสราที่ถูกลูบเฉพาะส่วน
มาเยี่ยมครับ
อยู่ไกลกันจังเลย...หาดใหญ่นี้เอง...
เป็นเรื่องทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจนะครับ
ช่วงที่ขอมมีอำนาจ...ได้สร้างสิ่งมหัศจรรย์เหล่านี้ไว้
ผมยังไม่เคยเข้าไปเที่ยวชมในเมืองเขมรเลยครับ
มีแต่ฝั่งไทยผมเคยไปนานมาแล้วคือที่ปราสาทเขาพนมรุ้ง...ปราสาทเขาอังคาร...ปราสาทพิมายและช่วงค่ำไปอาบน้ำในลำห้อยแถวอำเภอนางรอง...ขณะเดินไปในเส้นทาง...เจองูตัวเท่านิ้วมือ
หลายตัว...ลักษณะมันเลื้อยไปเหมือนกว้างตนเองไป
แต่ไม่รู้ว่าชื่องูอะไร
พอยามค่ำคืนนั่งฟังกันตรึม...สนุกแต่ไม่รู้เรื่อง ฮา ๆ เอิก ๆ...
ขอบคุณครับ...
อาจารย์ umi คะ ขอบคุณค่ะที่ตามรอยมาชม
เขมรยังมีปราสาทอีกมากมายที่น่าสนใจ
ถ้าว่างเมื่อไรไปเที่ยวนะคะ.....
สวัสดีค่ะ...คุณขแมร
ขอบคุณค่ะที่แวะมาอ่าน แต่ไม่มีความรู้ภาษาขแมร์ เลยไม่รู้ความหมายค่ะ....