หลายครั้งมากที่ผมรู้สึกไปเองหรือไม่ว่าการเริ่มต้นเพื่อทำวิจัย โดยเฉพาะกรณีภาคบังคับ ซึ่งจะมีหลาย ๆ กรณีเช่นในระบบการศึกษา การเลื่อนระดับในระบบราชการ หรืออาจจะเป็นภาคบังคับในหน่วยงาน ไม่ได้เริ่มด้วยโจทย์ที่ปัญหาวิจัย ก่อนพัฒนาเป็นคำถามวิจัย จากนั้นก็ไปตามลำดับของกระบวนการวิธีวิจัย
มีผู้ขอคำแนะนำท่านหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ได้ติดต่อมายังผม มีข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาแล้วเป็นอย่างดี บอกว่าวิเคราะห์และแปลผลไม่ค่อยถูก อยากได้คำแนะนำ เมื่อสอบถามถึงคำถามวิจัย หรือ วัตถุประสงค์ของการวิจัย ก็ได้รับคำตอบว่ายังไม่เรียบร้อย และยืนยันว่าจะวิเคราะห์ด้วยสถิติตัวนั้นตัวนี้ ผมได้พยายามบอกว่าการเลือกใช้สถิติว่าจะเป็นตัวใหน เป็นสิ่งที่อยู่หลัง คำถามวิจัยที่ดี จะเป็นตัวบอกหลาย ๆ เรื่อง ก่อนมาพิจารณาข้อจำกัดในการเก็บรวมข้อมูล เมื่อลงตัวตรงนี้แล้วก็จะได้ตัดสินใจเลือกสถิติที่จะใช้วิเคราะห์ ก็ปรากฎว่าเงียบไป ไม่ติดต่ออีก
ทำให้ผมรู้ว่าต้องทบทวนเรื่องนี้ดู ก็พบว่ามีหลาย ๆ กรณีเท่าที่ได้เคยบันทึกไว้ น้อง ๆ ที่ไปศึกษาต่อ หรือ เพื่อนร่วมงานที่ต้องการทำเอกสารวิชาการ มักจะเริ่มด้วยสถิติที่จะใช้ก่อน โดยเฉพาะหากได้เลือกใช้ตัวที่รู้สึกว่ายาก ๆ จะทำให้ดูดี สมาร์ท (ผมนึกไปเอง) อย่างนี้จะทำให้การทำวิจัยครั้งนั้นไม่ง่ายขึ้นเลย และจะมีผลต่อคุณภาพของชิ้นงานแน่ ๆ เพราะจะติดด้วยข้อจำกัดอีกสารพัดที่คาดไม่ถึง หากจะถอยกลับเพื่อเริ่มใหม่ก็จะกลายเป็นการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ เสียเวลา เปลืองงบประมาณ และเสียกำลังใจ
ยังยืนยันว่าการเริ่มต้นวิจัยจะต้องเริ่มที่ปัญหา --> ปัญหาวิจัย ผมได้เคยเขียนไว้แล้วที่บันทึก เอามะพร้าวมาขายสวน: การเลือกเรื่องและการกำหนดปัญหาการวิจัย คราวนี้จะลองเขียนสรุปเป็นสมการดูนะครับ ดังนี้ ปัญหาวิจัยที่เลือก
= (ปัญหา - ปัญหาเชิงบริหารจัดการ - ปัญหาวิจัยที่มีคำตอบแล้ว) X ความสนใจ X โอกาสทำได้สำเร็จ X โอกาสที่จะนำมาใช้ประโยชน์
ขอโทษค่ะ กลับไปอ่านรายละเอียดเอามะพร้าวมาขายสวน: การเลือกเรื่องและการกำหนดปัญหาการวิจัย ของคุณแล้วพอจะเข้าใจแล้วค่ะว่า"ปัญหาวิจัยที่มีคำตอบแล้ว" ของคุณหมายถึงงานวิจัยที่มีคนอื่นทำมาแล้วใช่มั๊ยคะ
เยี่ยมครับคุณอรทัย อินทร์แก้ว (แต่ผมเพิ่งได้เข้ามา ลปรร.ต่อ) ที่ใช้เวลาห่างกัน 30 นาที (คห.1-2) ก็ตอบสิ่งที่สงสัยได้เองเลย
เน้นอีกทีครับ ที่ว่าซ้ำซ้อนกับงานวิจัยที่ทำมาแล้ว โดยดูได้จากการทบทวนวรรณกรรมที่ผ่านมาถึงจะได้รู้ประเด็นนี้ และการพิจารณาความซ้ำซ้อนในแง่ของปัญหา สถานที่ เวลา และวิธีการที่ใช้ ก็ไม่ใช่ว่าซ้ำอย่างใด อย่างหนึ่งแล้วจะทำไม่ได้ งานวิจัยบางเรื่องก็ต้องการการยืนยัน (confermatory) แต่หากซ้ำทุกอย่างทั้งปัญหา สถานที่ เวลา และวิธีการที่ใช้ อย่างนี้ซ้ำแน่นอน (บางทีเข้าข่ายลอก)
เรียน คุณนวกร (คงแปลว่า "มือใหม่")
สำหรับผมนะครับการออกแบบการวิจัยผมจะให้ยอมพูดว่าอะไรทำง่าย ๆ หรือยาก
ๆ โดยการนำมาเทียบชั้นกันครับ
เพราะขึ้นอยู่กับคำถามวิจัยมากกว่าว่าจะต้องการคำตอบแบบใด
หรือที่ผมจะเรียกว่าขึ้นอยู่กับโจทย์วิจัยมากกว่า
ฉะนั้นหากจะเปรียบเทียบกันก็เปรียบเทียบโดยรูปแบบการวิจัย
ที่ยังไม่มีโจทย์
ทั้งนี้ก็เพื่อจะหาความต่างและความเหมือนในการพิจารณาเลือกใช้นะครับ (ในตำราจะหาอ่านได้เยอะอยู่แล้วครับ)
เช่นการจะสำรวจว่า "คนพิการ"
ในชุมชนนี้มีเท่าไหร่ จำแนกตามคุณลักษณะส่วนบุคคล พิการอย่างไร
ใครมีศักยภาพในการพึ่งตนเองแค่ไหน อย่างนี้เป็นต้น
ไม่มีทางที่เราจะใช้รูปแบบการวิจัยทดลองในห้องปฏิบัติการได้เลยครับ