ผมได้เสนอความเห็นในบล็อกของครูนงว่า
การถอดบทเรียนก็เหมือนการเปิดอกคุยกัน ไม่ใช้เอาอัตตามาแลกกันดูการกล้าทำเช่นนี้ของครูนงนั้น ต้องนับได้ว่า ต้องมอบเหรียญ "กล้ากลางสมร" ให้เลยครับ
เพราะการจะสรุปบทเรียนนั้น จะต้องค่อยๆแกะออกมาทีละชั้น แบบค่อยๆถอดประเด็นที่พบในระดับต่างๆ ออกมาให้เห็นว่ามีข้อเด่น ข้อด้อย แต่ ใครจะกล้าถอดบทเรียนจริงๆมั่งครับ
ที่ผมเจอมาเวลาสรุปงาน มีแต่คอยปิดบังข้อด้อย เอาแต่ปมเด่นมาคุยกันที่สรุปว่า
มีแต่ข้อดี ไม่ต้องแก้ไขอะไร
เรียกว่า แค่ถอดรองเท้า (สรุปประสบการณ์) ก็ยากแล้วครับ ไม่ต้องพูดถึงเปิดอก(เนื้อหาจากการตีความหมาย)หรอก
ที่เจอนะครับ
พอบอกให้ถอดรองเท้า ก็อย่างมากแคะขี้ดินติดรองเท้าออกนิดหน่อย ไม่ยอมถอดรองเท้า และถุงเทาอีก "สิบชั้น"
ในการถอดบทเรียนจะให้ดีต้อง.ใกล้ๆกับหนัง XXX
จึงจะได้ผลงาน มาทำแค่หนังอินเดียโบราณ ปิดปิด บังๆ ไม่มีทางได้ลูกได้ผลหรอกครับ
อย่างน้อยก็ถอดเสื้อนอก เสื้อคลุมสามชั้น (ตำแหน่ง ศักดิ์ศรี)คุยกัน
หรือจะให้ดีถอดเนคไท (หน้าที่ ความรับผิดชอบ) หรือถ้าจะถอดเสื้อกล้าม (อัตตา ความคิดเห็นส่วนตัว) ก็จะทำให้เราเข้าใจกันมาก และแก้ไขปัญหาได้ครับ
สวัสดีครับ
ดร.แสวงครับ
อาจารย์คะ
เรดxxx เลยเหรอคะ....อิอิ
ชอบความเห็นของอาจารย์ค่ะ ว่าต้องวางอัตตาตัวเองลงก่อน ....
ต้องเอาความปรารถนาดีและความอยากพัฒนาเป็นตัวตั้งถึงจะถอดบทเรียนและแชร์ความรู้กันได้ดี.....เคยทำแบบทะลุกทะลุ่ยใน ข้อคิดเห็นบางประการจากงาน KM เชียงใหม่ พบว่าส่วนที่ยากคืออัตตาของตัวเองนั่นแหล่ะค่ะ ..แต่พอทำแล้วกลับพบว่าได้เรียนรู้มากกว่าตอนแรกที่คิดซะอีก...แต่ในชีวิตราชการ ยังไม่เคยเจอลักษณะการแลกเปลี่ยนเลยค่ะ ...และยังไม่เคยเห็นการถอดบทเรียนแบบเรด xxx ค่ะ...
ครับ
เรท XXX ยังน้อยไปนะครับ
ถ้าผมทำ ผมจะมาในมาดใหม่ เจริญปุระ เลยครับ
แบบว่า
"เอาหัวใจออกมา เอาออกมาพิสูจน์ เพราะแค่เพียงคำพูดไม่พอ"
แบบที่ครูบาว่า
ประเมินแบบรู้ร้อนรู้หนาวกับสิ่งที่เกิดขึ้น นะครับ
ขอบคุณครับที่มาเยี่ยม
สวัสดีครับ ดร.แสวง ที่เคารพ
ขอบคุณครับ
ผมชอบชัดๆครับ
ผมชอบอยู่กับความเข้าใจ ไม่งั้นก็โยนความไม่เข้าใจทิ้งไปเลยครับ
นี่คือนิสัยส่วนตัวครับ แก้ยากจริงๆครับ
อาจารย์คะ ขอบคุณที่แวะไปเยี่ยมในบันทึกข้อคิดเห็นบางประการจากงาน KM เชียงใหม่ค่ะ
เลยได้ความคิดที่อยากรู้ต่อ...เขียนไว้อย่างนี้
ชอบที่อาจารย์บอกว่าต้องรู้ร้อนรู้หนาวนั้นค่ะ....เวลาคุยกันเอาความรู้ที่ได้กับสิ่งที่ทำมาคุยกันต่อมันต้องรู้สึกไปกับสิ่งที่ทำนั่นแหล่ะ ไม่งั้นมันก็แก้ปัญหากันปัญหาของคราวต่อไปไม่ได้สักที