ผมขอเพิ่มเติมว่า นี่คือสาเหตุที่มาของการพัฒนาหลักสูตร สร้างภาพกันไปเรื่อยๆ ตราบใดที่คนสอนยังเป็น “เดิมๆ” ก็มักจะไม่มีอะไรเปลี่ยน ที่เปลี่ยนก็อาจเป็น “ชื่อวิชา” และ “ชื่อหลักสูตร” แต่เนื้อใน ส่วนใหญ่จะคงเดิม แบบ “เหล้าเก่า ในขวดเก่า” แต่ สลากใหม่ ราคาใหม่ ครับ
· ต่อไปภาควิชาไหนนักศึกษาเอาไปทำมาหากินไม่ได้โดยตรงจะอยู่ยาก ถ้าผู้เรียนหารายได้หรือหากำไรจากวิชาความรู้ของตนเองไม่ได้ มีหวังหายหน้ากันไปทีละรายสองราย
ผมขอเพิ่มเติมว่าข้อนี้ตรงความจริงเกือบทั้งหมด ที่ชื่อสาขาที่เรียนจะทำให้หางานยากง่าย กว่ากัน แต่ในประเด็นวิชาความรู้ นั้น ไม่ค่อยตรงเท่าไหร่ เพราะ เขาวัดกันที่ “สอบผ่าน” ไม่ได้วัดกันที่ความรู้
ผมขอเพิ่มเติมว่าข้อนี้ตรงกับความจริง เกือบ ๑๐๐% ผมแทบจะไม่เคยเห็นนักศึกษาที่สนใจความรู้ นอกจากวิชาบังคับแล้ว ส่วนใหญ่จะลงเรียนวิชาอะไรก็ได้ที่ได้คะแนนง่ายๆ เกรด A B เป็นหลัก บางวิชาที่เป็นวิชา “แจกเกรด” จะมีนักศึกษาลงทะเบียนเรียนเป็น ๑๐๐๐ คน จากทุกคณะ แม้เปิดภาคฤดูร้อน ก็ยังลงเต็มห้องทุกภาคการศึกษา จะเรียนหรือไม่ ไม่สำคัญ แต่จะได้ A หรือ B กันเป็นส่วนใหญ่ ผมเคยถามเหตุผลอาจารย์ที่สอนและให้คะแนนแบบนี้ เขาบอกว่าเป็นการช่วยให้นักศึกษาจบ เป็นการให้โอกาสคนไปพัฒนาตัวเองในภายหลัง
ผมขอเพิ่มเติมว่าเรื่องนี้ยังต้องฝันอีกนานเพราะ ส่วนใหญ่จะเน้นประเมินเอกสาร แม้จะฟังจากผู้เรียน ก็จะมีตัวจริงที่รู้ว่าควรจะเป็นอย่างไร ไม่กี่คน เขาจะกล้าพูดไหม และถ้าเป็นต่างฝ่ายต่างรับประโยชน์นั้น จะไม่มีใครปริปากแน่นอน
นี่คือ ปัญหาที่ผมพบอยู่ในระบบการเรียนการสอน (ไม่ใช่การ “ศึกษา”) ระดับสถาบันอุดมศึกษา
แล้วเราจะเอาอะไร ไปแข่งกับคนอื่น ที่เขากำลังพัฒนาอย่างจริงจัง
ดีนะ ที่เรายังมีการศึกษานอกระบบที่สามารถพยุงระบบ "การศึกษา"ที่อ่อนแอนี้ไว้
ไม่ว่าจะเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้าน ในเชิงการเกษตร (ที่กำลังล้มลุกคลุกคลาน) และภาคธุรกิจที่เขาจะทำเล่นๆ ไม่ได้
นอกนั้น ที่ยังทำเล่นๆ อยู่อย่างนี้ ก็ยากจนกันต่อไปก็แล้วกันนะครับ
อ่านบันทึกนี้ก็คิดถึงนักวิชาการสายปรัชญาและศาสนา ...
เวลาบ้านเมืองหรือโลกมีเหตุการณ์เป็นที่สนใจทั่วๆ ไป ... มักไม่ค่อยเห็น สื่อ ไปสัมภาษณ์นักวิชาการสายนี้...
อีกความเห็นหนึ่ง คล้ายๆ กับว่า นักวิชาการสายนี้อาศัยอยู่บนหอคอยงาช้าง กระท่อมน้อยกลางป่าลึก หรือเกาะกลางทะเล แล้วก็คิดอะไรไปตามประสาท่าน....
เมื่อคำนึงว่า นักวิชาการสายนี้เน้นความเป็นนักคิดโดยเฉพาะ เมื่อท่านเหล่านี้ไม่ออกมา ก็น่าจะไร้ค่าในการลงทุนทางการศึกษาของประเทศ หรือการศึกษาสายนี้ไม่ได้ผล.......... ประมาณนั้น
ก็เข้ามาร่วมบ่นกับอาจารย์ ทำนองเทียบเคียง....
เจริญพร
กราบนมัสการท่านมหาชัยวุธ
ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละครับ
วิบากกรมของคนไทยที่มีช้างมาก ก็เลยเหลือเฟือที่จะมาทำหอคอยกันได้ไม่มีวันหมด
การลงทุนตรงนี้
สูญเปล่าแน่นอน ก็ยังไม่ปรับวิธีคิด
ผมจึงเคยเสนอแบบบ้าๆ ว่า
ให้ยุบกระทรวงศึกษาแล้วตั้งใหม่สักปีละครั้ง
สักสิบปี
แบบไล่ออกคัดเข้าใหม่ทุกครั้ง
ผมว่าน่าจะดีขึ้น เป็นลำดับ
ตอนนี้ กลุ่มคนที่ทำลายระบบการศึกษาก็ยังเสวยสุขลอยนวล
แล้วเราจะไปพึ่งใครได้
คงต้องบ่น และฝันไปเรื่อยๆละครับ
สวัสดีครับอาจารย์
ผมแวะเข้ามาทักทาย และกำลังเห็นด้วยกับความคิดของอาจารย์ครับ ปัญหาการเรียนการสอนตอนนี้เป็นเรื่องที่ผมชักไม่แน่ใจว่า สถาบันอุดมศึกษาไทยกำลังเดินทางไปในแนวถูกต้องเพียงใด หันมามองนักศึกษาแล้ว ก็ถามตัวเองว่า กำลังของชาติที่กำลังเดินอยู่ในมหาวิทยาลัย เป็นกองกำลังที่เข้มแข็งแค่ไหน จะนำพาชาติไปอย่างไร เพราะเรากำลังหลงว่า นี่คือหนทางแห่งคุณภาพที่แท้จริง
เรากำลังวัดอะไรกันอยู่ครับอาจารย์
เราจะต้องร่วมมือกัน ดำเนินการอย่างจริงจัง เราจะไม่ล้มเหลว ตราบใดที่เราไม่ล้มเลิก และเราจะไม่ล้มเลิกด้วยครับ
ครับ เริ่มตรงไหนดีครับ