ปรุงจิตน้อย นอนน้อย ประโยชน์มาก...


 

ในช่วงเวลาระหว่างวัน ในช่วงวันระหว่างนาที เราต้องลองสอบทานจิตตนเองอยู่เสมอว่า เรา “ปรุง” ความคิดต่าง ๆ ขึ้นหรือไม่มากน้อยเพียงใด...?

ถ้า “ปรุง” มาก เราก็จะเหนื่อยมาก ถ้าเราเหนื่อยมาก เราก็ต้องพักมาก สิ่งนี้เป็นของคู่กัน
แต่ถ้าหากเรา “ปรุง” มาก แล้วเรามีเวลาพักน้อย ร่างกายนี้ จิตนี้ ใจนี้ ก็จะทรุดโทรมไปก่อนกาลเวลาที่สมควร

การ “ปรุง” กับการ “คิด” นั้นแตกต่างกัน...
การ “ปรุง” เป็นการวาดภาพในอากาศ ละเมอ เพ้อฝัน ไปตามสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบ สัมผัส แล้วส่งเข้าไปให้ “จิตปรุง”
ปรุงแต่งไปเป็นเรื่องต่าง ๆ นานา
ปรุงดีก็เหนื่อย ปรุงไม่ดีก็ยิ่งเหนื่อย

การ “คิด” เป็นเพียงการทำตามหน้าที่ หน้าที่ที่ต้องคิด คิดเสร็จแล้ว “จบ” แต่ปรุงนั้น “ไม่จบ” จะปรุงไปเรื่อย โดยเฉพาะยิ่งถ้าใครคิดด้วย "จิตว่าง" นี่สุดยอด ไม่เหนื่อย แถมความคิดยังเฉียบคมอีกต่างหาก


ความคิดนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติแบบธรรมดา คนยังไม่ตายก็ต้องคิด
แต่การปรุงนั้นเป็นสิ่งไม่สามารถเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติและเป็นเรื่องไม่ธรรมดา คนที่ไม่มีสติเท่านั้นที่จะปรุงจะแต่งเรื่องราวต่าง ๆ ไปเรื่อยเปื่อย

เมื่อเรา “ปรุง” จิตเราก็จะทำงานหนัก
แทนที่จิตเราอยู่ว่าง ๆ จะได้พัก ได้เสริมสร้างพลังให้แข็งแกร่ง เรากลับนำจิตนั้นไปปรุงเรื่องราวต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ “ไร้สาระ” และเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเกิดขึ้นจริงได้
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงที่พลังงานของจิตที่จะต้องใช้ไปกับการปรุงนั้น ส่งผลให้เวลาในยามค่ำคืนเราจะต้องใช้เวลาพักผ่อนมากกว่าปกติ
คนเรานั้นจะใช้เวลาพักผ่อนมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับอายุและสภาพร่างกาย จะบอกไม่ได้หรอกว่าคนนี้คนพักผ่อนเท่านี้กี่ชั่วโมง เด็กควรพักเท่านี้ ผู้ใหญ่ควรพักเท่านั้น การพักผ่อนนั้นขึ้นอยู่กับสภาพความสมบูรณ์และร่างกายและ “จิต”

ความสมบูรณ์ของ “จิต” เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าความสมบูรณ์ของร่างกาย
ความสมบูรณ์ของจิต เกิดขึ้นจากจิตดวงนั้นไม่รับอารมณ์ต่าง ๆ เข้ามาปรุง
เมื่อตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ สัมผัสกับสิ่งต่าง ๆ ถ้าจิตดวงนั้นไม่รับสิ่งต่าง ๆ เข้าไปปรุงแบบ “ปรุงไปเรื่อย” จิตดวงนั้นจะมีความสมบูรณ์ของจิตมากกว่าจิตที่ปรุงเรื่องราวต่าง ๆ สัพเพเหระ
ดังนั้น การที่จิตไม่ปรุง จิตจึงสมบูรณ์ เมื่อจิตสมบูรณ์ จิตนั้นจะเหนื่อยน้อย เวลาพักผ่อนของจิตนั้นก็จะน้อย เวลาพักผ่อนของกายนั้นก็จะสอดคล้องกันเป็นห่วงโซ่ที่สอดรัดขัดเกลียวกันอย่างแยกไม่ออก

ในสังคมที่งานการต่าง ๆ ยุ่งเหยิงอยู่แล้ว ในสภาพเศรษฐกิจที่บีบรัดอยู่แล้ว ในสภาพสังคมที่รุมเร้าด้วยกิเลสอยู่แล้ว “จิต” เราก็เหนื่อยพออยู่แล้วที่จะกีดกั้น ไม่ให้กิเลสเข้ามาทะลุทะลวงใจ หันเหชีวิตไปหา ไปซื้อ ไปตามกิเลสต่าง ๆ ที่ยั่วเย้าอยู่นั้น “แค่นี้ก็เหนื่อยพอตัวอยู่แล้ว”

ถ้าหากเรานำจิตที่เหนื่อยนักนี้ไปคิดไปปรุงต่าง ๆ อีก จิตจะยิ่งเหนื่อย ยิ่งหนัก ดังนั้นจิตและกายจึงต้องใช้เวลาพักมากขึ้น ๆ ซึ่งจะสวนทางกับสภาพสังคมที่บีบรัด สภาพการจราจรที่ต้องตื่นตั้งแต่ตีสามตีสี่เร่งเดินทางในยามรถติด เมื่อเลิกงานกว่าจะกลับถึงบ้านก็เข้าล่วงเข้าไปยามรัตติกาล งานบ้าน งานครอบครัวอีกจิปาฐะ จิตนี้ กายนี้ เหนื่อยหนักพออยู่แล้ว

ถ้าเราหยุดปรุงเสียได้ จิตนั้นจะได้พักผ่อนโดยปริยาย พักผ่อนได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ มิต้องรอพักผ่อนตอนอยู่บนเตียงนอนเท่านั้น


การที่จิตหยุดปรุง จิตจะนิ่งสงบ ซึ่งเป็นธรรมชาติของจิตซึ่งเดิมสงบอยู่เป็นธรรมดา
จิตที่จะสงบจะเติมพลังให้กับตนเอง
ความคิดจะคมขึ้น ร่างกายจะสมบูรณ์และแข็งแรงขึ้น ด้วยเพราะจิตไม่ทำลายกาย

ดังนั้นจึงเป็นคำตอบได้อย่างหนึ่งว่า ทำไมบางครั้งบางคนถึงนอนน้อยเรารู้สึกสบาย
ทำไมบางครั้งถึงต้องนอนมาก นอนแล้วนอนอีก นอนแล้วก็ไม่สบาย ไม่หายเหนื่อย นอน นอน นอน แล้วก็นอน...
ถ้าจิตปรุงน้อย นอนน้อย สบาย
ถ้าจิตปรุงมาก นอนไม่สบาย นอนมากเท่าไหร่ยิ่งไม่สบาย เพราะนอนไม่หลับ กระสับ กระส่าย

ถ้าเรามีเวลานอนน้อย พักน้อยอยู่แล้ว เราควรหยุดปรุงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็นและไร้สาระ
หรือถ้ามีเวลามาก ก็ยิ่งไม่ควรปรุงจิต ควรจะนำเวลานั้นมาเสริมสร้างพลังให้จิตด้วยความสงบ เสริมสร้างความสมบูรณ์ของจิตด้วยลมหายใจ
เวลาที่เหลือจากการพักผ่อน เราก็จะสามารถนำมาสร้างประโยชน์ให้กับตน ครอบครัว สังคมและโลกนี้ได้ไซร้อย่างอเนกอนันต์...

 

ปรุงจิตน้อย นอนน้อย สร้างประโยชน์ได้มาก

ปรุงจิตมาก นอนมาก สร้างประโยชน์ได้น้อย

 

คำสำคัญ (Tags): #จิตศาสตร์
หมายเลขบันทึก: 180145เขียนเมื่อ 2 พฤษภาคม 2008 09:17 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:00 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)
  • กราบนมัสการค่ะ
  • เข้ามารับธรรมะ  ได้ความรู้เรื่องของการปรุงจิต เคยรับทราบมาอยู่แล้วค่ะว่ากายและจิตสัมพันธ์กันอย่างไม่สามารถแยกได้  หากไม่เคยตระหนักว่า สัมพันธ์กันอย่างไร
  • กราบขอบพระคุณและขออนุญาตนำไปเผยแผ่ให้เพื่อน  ๆ ด้วยนะคะ.

สาธุ สาธุ สาธุ

"การให้ธรรม ชนะการให้ทั้งปวง"

กราบนมัสการพระอาจารย์คะ

ถึงว่าช่วงนี้นอนเท่าไหร่ก็เหมือนนอนไม่พอคะ เพราะว่ามัวแต่ไปปรุงจิต คิดถึงเรื่องงาน เรื่องนู้น เรื่องนี้ แถมยังนอนดึกอีกคะ

ขอบคุณพระอาจารย์มากคะ

กราบนมัสการค่ะ,

จะห้าม "จิต" อย่างไรไม่ให้ "ปรุง" คะ

เผลอไม่ได้เลย กลับไปคิดเรื่องเดิมเสมอ

เหมือนกับที่บอกว่า "อยู่กับปัจจุบัน" ก็อยู่ได้แป๊ปเดียวค่ะ

แต่พอมีงานให้คิดก็ลืม "ปรุง" เคยคิดว่าจะหางานหรืออะไรทำให้ "จิต" ไม่ว่าง ก็ไม่น่าจะเป็นวิธีแก้ที่ถูก ใช่ไหมค่ะ เพราะไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ

กราบนมัสการพระคุณเจ้า

  • จิตดวงนี้ปรุงมาก  ไร้สาระไปเรื่อยเปื่อย ไขว่คว้าหาตัวช่วยที่ไม่มีประโยชน์  หวังจะพึ่งสิ่งต่างๆรอบตัว
  • หัวใจที่บอบช้ำอยู่แล้ว  ถูกกระแทกซ้ำกลับมาอีก จึงพร้อมที่จะแหลกสลายได้ทุกเวลา เป็นเพราะเหตุ  จิต ทำลายกาย นี่กระมัง
  • หากแต่ได้กลับมาทบทวนได้ทัน ไตร่ตรองถึงการที่ตัวเองปล่อยให้เกิดการปรุงจิตมากมายที่ไร้สาระ  สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ที่นี่ไม่มีวันที่จะหวนกลับมาได้เลย
  • จึงรู้ว่าไม่มีใครช่วยเราได้เลยนอกจากตัวเรา ไม่มีใครเข้าใจเรา เท่าตัวเรา ต้องอยู่อย่างมีสติ  เข้มแข็ง  อดทน มีชีวิตกลับสู่ภาวะปกติให้ได้
  • ได้เข้ามาอ่านบันทึกนี้ เป็นตัวช่วยกระตุ้น เตือนสติอีกแรงหนึ่ง
  • ขอบคุณ พระคุณเจ้าค่ะ
  • กราบนมัสการพระคุณเจ้า
  • เข้ามารับธรรมะแล้วได้รับความสบายใจเป็นอย่างมาก
  • อยากเรียนถามท่านพระคุณเจ้า ว่าเราจะทำให้จิตเราว่างควรปฏิบัติอย่างไร
  • ขอขอบคุณพระคุณเจ้า และจะติดตามบันทึกแห่งธรรมนี้อย่างต่อเนื่อง

สาธุ สาธุ สาธุ เป็นคำถามที่ล้ำค่าและมีประโยชน์อย่างยิ่ง อาตมาขอโอกาสตอบเป็นบันทึกไว้ใน จะห้าม "จิต" อย่างไรไม่ให้ "ปรุง"...?

บันทึกเรื่องเกี่ยวกับ การปรุงแต่งแห่งจิต นี้ เป็นเรื่องน่าสนใจมาก สำหรับตัวเองคะ

เมื่อก่อนก็มีปัญหามากในการปล่อยให้จิตปรุงแต่ง เพลิดเพลิน โดยไม่ทันสังเกตุตัวเองด้วยซ้ำว่าจิตปรุงแต่ง พบว่าเหนื่อยจริงๆคะ ใช้พลังงานเยอะ เหมือนทำงานหนักจริงๆคะ

แต่แปลกที่อำนาจกิเลสมันแรงเสียจน มองไม่เห็น ห้ามไม่อยู่ หยุดไม่ได้

พอสักพักหรือพอเวลานานเข้า ความที่ตัวเราจะเหนื่อยอ่อนไปเองกับความคิดลบ อารมณ์ลบ พฤติกรรมลบที่ พฤติกรรมลบ ที่มันเกิดขึ้น เพราะคนเราทุกคนก็มีศักยภาพที่จะมองด้านดีของตนเอง มีความอยากจะดีขึ้นบ้าง

ตอนนี้แค่สังเกตุเห็น ว่าเราปรุงแต่ง และเลิกโทษ กับสิ่งแวดล้อมก็ช่วยได้มากทีเดียว

แล้วหันมาจัดการกับสิ่งนั้นเอง ก็หาทางแก้ไขได้

ตอนนี้ส่วนตัวพอเกิดปรุงแต่ง ก็ทำแค่ 1. ถามตัวเองว่าใครปรุงก็จะสามารถหันจากเรื่องที่ปรุงแต่งมาที่ตัวเราได้ ก็หลุดจากเรื่องที่กำลังปรุง 2. พอเห็นคนปรุงก็จะเห็นอาการต่างๆนานาทั้งทางกาย และทางจิตคือเกร็งคอ ไหล่ กราม ใตเต้น เกิดความรู้สึกกังวล พาลออกมาทางมีคำถามเยอะแบบถามซ้ำๆ แล้วเห็นว่าไม่มีประโยชน์ 3. จากนั้นถามตัวเองอีกว่าใครปรุงแต่ง ใครเศร้าหดหู่ แล้วจะบอกตัวเองทุกครั้งว่า ไม่ใช่ฉัน แต่ฉันเห็นแต่อารมณ์ปรุงแต่งที่เกิดขึ้นแค่นั้น แค่เฝ้าดูมัน มันแค่เป็นอารมณ์จรแวะมาเดี๊ยวก็ไป

ก็ดีขึ้น

ตอนนี้เห็นว่าสามารถดับสิ่งนี้ได้เร็วขึ้นเมื่อมันเกิดแล้ว หรือเห็นขณะที่มันกำลังเกิด หรืออาจจะสามารถดักตอนที่มันยังไม่เกิดหรือกำลังจะเกิดได้ โดยไม่โทษตัวเอง ให้อภัยตัวเอง ให้อภัยคนอื่นด้วย

ก็พบว่า ชีวิตดีขึ้น สบายขึ้น โล่งขึ้น

ไม่โทษตัวเอง ให้อภัยตัวเองและคนอื่นได้ แค่เฝ้าดูความรู้สึกนั้นไปเรื่อยๆ เช่น เห็นความเศร้าหดหู่ แต่มักจะถามตัวเองว่า "ใครหดหู่"..

ขอคำแนะนำด้วยคะ

และคงยินดีมากที่ท่านจะเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้มาอีก (อยากอ่านเพื่อให้พบทางแก้ไขตัวเองคะ)

สิ่งที่ทำมานั้นถูกทางแล้ว ถูกต้องแล้ว ทำต่อไป ต่อไป ต่อไป อย่าได้หยุด

อย่าประมาทแม้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย นิดหน่อยหน่า ขอหน่อยหน่า

ตัวรู้มีแล้ว เกิดแล้ว ทรงไว้ รักษาไว้

อ่านตนเองมาก ๆ อ่านตนเองในทุกลมหายใจ

ธรรมะอยู่ที่ชีวิตและลมหายใจ มิใช่ชีวิตใคร "ชีวิตเราเอง..."

เมื่อใดที่ลมหายใจนี้ยังไม่หยุดก็ต้องตามรู้ไปเรื่อย ๆ ต้องสู้มัน...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท