วันนี้อากาศที่เชียงใหม่ร้อนมากค่ะ ร้อนสุด ๆ จนทำให้คนเขียนนึกถึง "ปาย" ขึ้นมา ก็เพราะว่าเวลาที่นึกถึงปายก็คล้ายจะได้สัมผัสละอองหมอกเหมยไปด้วยน่ะสิคะ ใคร ๆ ก็พากันไปเยี่ยมเยือนปายกันทั้งนั้นในช่วงที่มีอากาศหนาวเย็น
คนเขียนเคยไปปายครั้งแรกเมื่อราว 2 ปีก่อนแล้วค่ะ ในเช้าของวันหนาวที่คนเขียนรู้สึกสับสนและทุกข์ใจ จำได้ว่าได้หยิบนิตยสารคลีโอขึ้นมาเปิดดูแล้วในคอลัมน์หนึ่งได้เล่าถึงปาย ปายที่เปรียบดั่งสาวชาวป่าผู้แสนจะใสซื่อ แต่ก็ดูสงบนิ่งและเยือกเย็นอยู่ในที ตัดสินใจคว้ากระเป๋าใบเล็ก 1 ใบที่ใส่ได้แค่ผ้าพันตัวผืนบาง 1 ผืน เสื้อกล้ามสีขาว 1 ตัว สมุดบันทึกเล่มเล็ก ๆ และปากกา ดินสอ อ๋อ ไม่ลืมหยิบนิตยสารคลีโอเล่มนั้นไปด้วย แล้วก็เดินออกจากบ้านนั่งรถไปที่อาเขตโดยไม่บอกให้แม่รู้ เดินท่อม ๆ ไปหาซื้อตั๋วรถเชียงใหม่ - ปาย จนได้ รถออก 12.00 น. รถเมล์ตั๋วราคา 60 บาทค่ะ ระหว่างนั้นที่รอก็เดินเข้าห้องน้ำที่อาเขตซึ่งเขากำลังทำความสะอาดอยู่ แต่ก็ลื่นล้มหลังฟาดพื้นแรงมาก พยายามขยับแขน - ขา และลองเอี้ยวตัวก็รู้สึกแปล๊บ แต่จะถอยตั้งแต่ก้าวแรกก็ไม่ใช่คนเขียนล่ะค่ะ เพราะฉะนั้นคนเขียนจึงมีโอกาสนั่งรถเมล์ไปปาย แต่ระหว่างที่นั่งรถนั่นสิ มีป้านักกิจกรรมคนหนึ่งนั่งข้าง ๆ แล้วก็คุยจ้อในขณะที่คนเขียนต้องการความสงบและอยากนั่งในท่าที่สบายที่สุดเพราะรู้สึกปวดหลังมากจนแทบจะขยับไม่ได้ อ๋อ แล้วไปได้ระยะหนึ่งป้าแกก็ขอพาดเท้าแกกับขาของคนเขียนค่ะ แกบอกว่าแกปวดขาและที่วางเท้าแกก็เต็มไปด้วยถุงกระสอบใบใหญ่ที่บรรจุของสำหรับทำกิจกรรมที่ปาย คนเขียนได้แต่ร้องเฮ้ออยู่ในใจ ไปถึงปายก็ค่ำพอดี หนาวก็หนาว เดินขากระเผลกหาที่พักที่ไหนก็ปรากฏว่าเต็มหมด จนที่สุดท้ายที่ได้ก็น่ากลัวชะมัด เป็นกระต๊อบเล็ก ๆ โทรม ๆ ที่ไม่ติดน้ำปายเลย คนเขียนนอนร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดจนถึงเช้าก็รีบเผ่นค่ะ แต่ก็หมายมั่นว่าสักวันหนึ่งจะต้องกลับมาเยือนปายอีกครั้ง
แล้วครั้งที่ว่าก็มาถึง .. กลางเดือนมกราคม ปี 2550 นี่เอง เป็นฤกษ์งามยามดีที่คนเขียนได้มีโอกาสไปเยือนปายอีกครั้งหนึ่ง แน่ล่ะ ที่คราวนี้คนเขียนต้องทำการบ้านไปดีค่ะ หาข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทางและที่พักล่วงหน้าในอินเตอร์เน็ตกว่า 1 เดือนก่อนหน้านั้น แพลนแรกจะไปตอนช่วงกลางเดือนธันวาคม 2549 แต่ว่าพี่สาวคนสวยเกิดติดธุระกันเลยต้องล้มเลิกไป พอเปรยกับพี่สาวคนหนึ่งในโลกไซเบอร์ที่เพิ่งคุยกันได้ราวครึ่งเดือนว่าจะไปปาย พี่สาวคนนี้ขอตามไปด้วยแล้วก็ถามว่า " ว่าแต่ ปายนี่คือที่ไหนหรือคะ น้องต้อม " เพราะคำถามนี้ล่ะค่ะ เลยตัดสินใจได้เลยว่าฉันจะเอาพี่คนนี้ล่ะไปด้วย อิอิ ต้องคนนี้เท่านั้น
พยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับปายให้ได้มากที่สุดและพยายามพูดคุยกับพี่สาวคนที่จะไปด้วยกันให้ได้มากที่สุดด้วย พี่สาวคนนี้อยู่ในวัย 48 ปี ที่มีอารมณ์เบิกบานสนุกสนาน แต่ก็บอกเธอไปนะคะว่าคนเขียนไม่ได้ไปเที่ยวน๊า แต่จะไปนอนเท่านั้นเอง พี่จะเบื่อไหมเนี่ย? และคำถามที่ต้องถาม แหมก็จำเป็นนี่นา ว่า .. " ถามจริงเถอะค่ะพี่ พี่ไม่กลัวต้อมหรือคะ? " เธอว่า..จริง ๆ แล้วก็แอบกลัวเหมือนกันและใคร ๆ ก็เตือนนะ แต่ก็เชื่อใจล่ะค่ะเพราะเท่าที่คุยกันในเอม หนูต้อมน่าร๊ากกกกกกก (( หุหุ คำตอบถูกใจ ))
และแล้ววันที่ 14 ม.ค. 2550 หลังจากเลิกงานก็ไปรับพี่สาวที่เดินทางจากกรุงเทพมาถึงอาเขตเชียงใหม่ แฮ่ะ ๆ ๆ ไปรับช้าตั้ง 15 นาทีแน่ะ รู้สึกผิดมากค่ะเพราะปกติเป็นคนตรงต่อเวลามาก รับไปยังที่พักที่ต้องพักค้างคืนในเมืองเชียงใหม่ก่อน ชื่อบ้านร้อยดาว ค่ะ อยู่แถว ๆ อ.สันกำแพง ปกติราคาคืนละ 1000 บาท แต่คนเขียนได้สิทธิ์ฟรีเพราะไปบังคับเจ้าของมา แฮ่ะ ๆ ๆ พาไปทานมื้อค่ำที่เฮือนโบราณ บ้านริมปิง ค่ะ ได้คุยกันสนุกสนานดี แล้วก็พาเธอกลับไปพักผ่อนหลับนอนเอ่เอ๊ที่บ้านร้อยดาว
เช้าตรู่วันที่ 15 ม.ค. ก็ตื่นแต่เช้าแล้วก็ เอ หนาวชะมัด ขนาดเชียงใหม่ยังหนาวขนาดนี้แล้วปายจะหนาวขนาดไหนหนอ?? ไปตั้งต้นกันที่อาเขต เดินไปซื้อตั๋วด้วยความมั่นใจแต่คราวนี้ขอไปรถตู้ค่ะ ค่าตั๋วรถตู้ไปปายราคาคนละ 150 บาท จัดการซื้อ 2 ที่นั่ง แล้วก็รอเวลาไปปาย นั่งรถตู้จะใช้เวลาไปปายราว 3 ชั่วโมง ระยะทางก็วกวนเวียนเลี้ยวซ้ายขวาตามไหล่เขาชวนให้รู้สึกกลัวนิดหน่อย แล้วก็ถึงจนได้นะ ปาย ....
เข้าที่พักที่จองไว้ในคืนแรกในเวลาเที่ยงวันค่ะ .. ชื่อที่พักคือ วิลล่า เดอ ปาย ปกติช่วงไฮซีซั่นจะราคาคืนละ 950 บาท แต่คนเขียนจองวันที่ 15 ซึ่งราคาลงเป็นวันแรกคือ 650 บาท แต่ต้องไปยืนเถียงเล็กน้อยเรื่องราคาที่หน้าเคาน์เตอร์เพราะทางโน้นก็ยังยืนยันราคา 950 บาทอยู่ แต่ในที่สุดคนเขียนก็ได้ในราคาที่จองไว้จนได้ เยี่ยมเลย เลือกบ้านพักที่ติดกับน้ำปาย เป็นแบบกระท่อมเล็ก ๆ มีห้องน้ำในตัวและอินเตอร์เน็ตพร้อม ก็นอนอ่านหนังสืออย่างเดียวเลย ส่วนเธอคนนั้นนะหรือคะ ทำงานค่ะโดยผ่านอินเตอร์เน็ต แฮ่ะ ๆ ๆ สมกันจริง ๆ ให้ตาย ก็คนเขียนเคยบอกไงว่าไปถึงปายเราจะห้ามทำงาน ห้ามทำอะไร จะกิน-จะนอนเท่านั้น เธอก็นอนไปส่วนคนเขียนก็หยิบหนังสือมาอ่าน ๆ ๆ เธอก็ลุกมาเก็บหนังสือคนเขียนเลยนะ บ่นว่า " พักค่ะ พัก " แต่พอคนเขียนนอนมั่ง เธอก็ลุกไปนั่งเล่นเน็ตเฉยเลย พอคนเขียนบ่น เธอก็ว่า " แหม พี่ส่งงานลูกค้ากับเช็คงานกับเพื่อนแป๊บนะจ๊ะ " พอค่ำ ๆ เราสองคนก็ออกไปตะลุยถนนคนเดินที่ปายค่ะ คนเขียนทำการบ้านมาดีมาก บอกเธอว่าเราประเดิมมื้อแรกที่ขิงป่าข่าปายนะคะ ปรากฏว่าหลังจากเดินท่อม ๆ ตามแผนที่พริ๊นท์ออกมาจากในเน็ต ระยะทางไกลพอหอบแฮ่ก ๆ ร้านเขาปิด แป่วววววววเลย สงสารแต่เธอที่สวมรองเท้ามีส้นอ่ะสิคะ เลยกลับมานั่งโซ๊ยยยหมี่โบราณข้างทางแถวถนนคนเดินนั่นล่ะ อร่อยดี แวะนั่งละเลียดดื่มค้อกเทลไปหลายแก้วก็กลับไปนอนดีกว่า
เช้าวันที่ 16 ม.ค. ก็อุตส่าห์ตื่นแต่เช้าเชียว อยากตื่นให้ทันถ่ายรูปทะเลหมอก แต่ว่า .. อากาศหนาวววววววมาก หนาวสุด ๆ หนาวจะตาย เอื้อมมือสะกิด ๆ พี่เขา ว่า " พี่คะ ตื่นสิคะ ไปถ่ายรูปทะเลหมอกสวย ๆ กัน " พี่งัวเงียขึ้นมา " ตามสบายเถอะค่ะ ไม่ต้องเกรงใจนะคะ พี่ไม่ไป พี่หนาววว บรื๊อออ " แฮ่ะ ๆ ๆ ก็เลยไม่ออกไปถ่ายทะเลหมอกกัน ตื่นอีกที คนออกันเพียบหน้าบ้านพักเรา เขาพากันมาถ่ายรูป กรี๊ดดด อายชะมัด ลืมไปว่าหน้าบ้านพักเราดูดีกว่าหลังอื่น ๆ รอให้คนสร่างซาก็ปลุกพี่เขาไปหม่ำ ๆ มื้อเช้ากัน อ๋อ ฟรีค่ะ American breakfast
เตรียมตัว..ออกเดินทางกันได้แล้วจ้า
แล้วเก็บของเตรียมย้ายไปยังที่พักที่จองไว้อีกแห่งกัน ชื่อบ้านปายนา ค่ะ เป็นบ้านดินหลังเล็ก ๆ มีแค่ 4 หลังเองนะ คืนละ 250 บาท/คืน ต้องจองและโอนเงินให้เรียบร้อยค่ะก่อนมา ห้องน้ำ - ห้องส้วมรวมแต่สะอาดมาก ๆ มีแกลลอรี่ด้วยค่ะ ที่สำคัญเจ้าของชื่อ พี่กบ น่ารัก อัธยาศัยดี เปิดเพลงเพราะ ๆ เกือบทั้งวันเลย และนี่คือบ้านพักหลังที่เราจองไว้ค่ะ ชื่อบ้านข้าวกล้อง
มุ้งน่ารักค่ะ เป็นแบบกลม ๆ แปลกดีเพราะปัจจุบันไม่ค่อยเห็นกันนะคะ
ที่นอนห้องเราเป็นผ้าฝ้ายสีม่วงเข้มถูกใจคนเขียนมาก เสียดายไม่มีรูปให้ดูเพราะทำให้ยับเสียก่อนนี่ ก่อนที่เจ้าของเขาซึ่งก็คือพี่กบจะให้เด็กนำชาต้อนรับหอม ๆ เย็น ๆ มาให้ดื่มถึงในห้อง
และนี่ มุมหนึ่งของลานพักผ่อนส่วนกลางค่ะ จะเล่นระดับชั้น มีเปลญวนแขวนไว้ให้นอนเล่นอ่านหนังสือด้วยล่ะ น่ารักอีกเหมือนกัน อ๋อ ตรงมุมเสาจะมีกล้วยน้ำว๊าอยู่ด้วย ใครอยากทานก็หยิบไปทานได้ค่ะ ก็คนเขียนน่ะสิ ก่อนพาพี่สาวคนนี้มาปายก็บอกว่า "หน่า ๆ ต้อมจะดู จะแลพี่เอง ทุกเรื่องเลย เชื่อต้อมซี๊ " อิอิ แต่พอเธอบอก "พี่อยากหม่ำกล้วย" ต้อมก็ " โหยยย ไม่ได้บอกนิว่าจะไปหยิบกล้วยให้ แค่บอกว่าจะดูและจะแล " เท่านั้น เลยถูกค้อนขวับ แหม ๆ ๆ ล้อเล่นหน่า หยิบให้น๊า วันที่สองไง
นี่เป็นแกลลอรี่ค่ะ มีเครื่องประดับและสินค้าทำมือขาย
นี่ เคาน์เตอร์ทำเครื่องดื่ม - ทำอาหาร ของที่นี่ ค่ะ
เดินผ่านไป-ผ่านมา..มองไม่ชัด สังเกตุว่าใครๆ ผ่านตรงนี้แล้วอมยิ้ม
วันสุดท้ายขอเดินเข้าไปใกล้ๆ ปรากฏว่า..มุมนี้ ทะลึ่งค่ะ แต่ทำใครหลายคนแอบอมยิ้มมมมมมม
อ่ะ มีคนบอกให้ขยายภาพข้างบน แฮ่ะ ๆ หนูป่าวทะลึ่งน๊า มีจริง ๆ ที่บ้านปายนา
close - up จุ๊ ๆ ๆ
ก็ทริปนี้สนุกและมีความสุขดีค่ะ ไม่ได้เที่ยวไหนกันเลยเพราะมัวแต่นอนค่ะ จนกระทั่งวันสุดท้ายคนเขียนไม่อยากจะกลับเลยสิเนี่ย 3 คืนที่ปาย ที่ไม่ต้องทำงานหรือแบกรับภารกิจใด ๆ นั้น ไม่ต้องมีเงื่อนไขใด ๆ นั้นทำให้รู้สึกดีค่ะ นี่ล่ะหนาคือการพักจริง ๆ ของคนสองคนที่แทบจะไม่ได้มีเวลาไปไหนต่อไหนเหมือนคนอื่น
โห ๆ ๆ ดูสิ แค่วันนี้อากาศที่เชียงใหม่ร้อนเพราะแดดมะเร็งกลับพาคนเขียนใจลอยไปถึงปายในหน้าหนาวได้ เชื่อสิค่ะ โอ๊ยยย คิดถึงปาย คิดถึงอากาศเย็น ๆ คิดถึงคนที่ไปด้วย คิดถึ๊งงง - คิดถึง คิดถึงจริง ๆ