“ความเห็นไม่ตรงกันการพนันจึงเกิดขึ้น “ ประโยคนี้เคยได้ยินจาก อ๊อด เอกซเรย์ ของเราเมื่อนานแล้ว เลยนึกขึ้นได้ว่า ตอนนี้เห็นฝ่ายการพยาบาลตื่นตัวเรื่องพฤติกรรมบริการ ว่าจะมาปัดฝุ่นกันใหม่ อันเนื่องมาจากมักเกิดปัญหาความขัดแย้งของการให้บริการ ซึ่งขอเลียนแบบว่าเป็น “ความเห็นไม่สอดคล้อง การฟ้องร้องจึงเกิดขึ้น” แต่ไหนๆเราก็กำลังโปรโมทเรื่องของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ก็เลยถือโอกาสใช้เวที gotoknow เป็นที่แลกเปลี่ยนเสียเลย ก็อยากให้ทุกคนลองมาเล่าเรื่องประสบการณ์ดีๆ เกี่ยวกับการจัดการบริการที่มีความขัดแย้ง ว่าได้ทำอย่างไรไปบ้าง เรื่องเล็กๆก็ได้ ผมจะลองเปิดหัวข้อให้ว่า “ บริการอย่างไร ไร้ขัดแย้ง ( ว่าด้วยเรื่อง.......) “ ลองเข้ามาเล่ากันดูครับ วันนี้ขอเปิดประเด็นประสบการณ์ “ บริการอย่างไร ไร้ขัดแย้ง(ว่าด้วยเรื่องคนไข้ขอนอนโรงพยาบาล) “
หลายครั้งที่คนไข้หรือญาติอยากให้คนไข้นอนโรงพยาบาลโดยที่เราอาจเห็นว่าไม่สมควร (ตามความเห็นเรา) เราจะต้องทำอย่างไรเมื่อ ความเห็นไม่สอดคล้องกันเสียแล้ว แต่ก่อนอื่นขอเปิดมุมมองเพื่อทำความเข้าใจของทั้งสองฝ่ายก่อน
มุมมองคนไข้หรือญาติ คนไข้จะหนักหรือไม่หนักจะดูที่อาการ,ความรู้สึกหรือความกังวลเป็นหลัก ถือมีข้อเหล่านั้นก็ถือว่าหนัก ต้องนอน รพ. โดยไม่สนใจเรื่องพยาธิสภาพหรือสาเหตุ
มุมมองแพทย์ , พยาบาล คือ คนไข้ที่ต้องนอนคือคนไข้ที่ต้องมีพยาธิสภาพที่จำเป็นต้องให้การรักษาแบบผู้ป่วยใน เช่น ให้ยาเข้าเส้น ให้น้ำเกลือ หรือดูอาการใกล้ชิด โดยปกติมุมมองของแพทย์และผู้ป่วยก็มักตรงกัน คือถ้าผู้ป่วยรู้สึกอาการหนัก แพทย์ก็มักจะเห็นว่าหนักด้วย แต่มีบางกรณีที่คนไข้ว่าอาการหนัก แต่แพทย์บอกว่าไม่หนักเช่น ผู้ป่วยเวียนหัวจากการเปลี่ยนท่า ( benign position vertigo) ผู้ป่วยจะรู้สึกว่าอาการหนักมาก บ้านหมุน อาเจียน ใจสั่น แต่ในมุมมองแพทย์จะรู้ว่าพยาธิสภาพอาจไม่รุนแรง และส่วนใหญ่จะหายในเวลาไม่นานถือว่าไม่น่านอน รพ. ถึงตอนนี้ก็เริ่มเกิดความขัดแย้ง จะทำอย่างไร ผมขอเสนอประสบการณ์ที่อาจพอช่วยลดความขัดแย้งได้ดังนี้
1. ใช้เวลามากขึ้นหน่อยที่จะต้องอธิบายถึงพยาธิสภาพและพยากรณ์โรคเพื่อให้คนไข้เข้าใจมากขึ้น คิดว่าสำคัญมาก บางทีพอเข้าใจก็จะยอมรับได้ แต่ถ้าไม่ได้ก็ไปข้อ 2
2. ลองต่อรองให้กลับไปดูอาการที่บ้าน (กรณีที่เรามั่นใจมากว่าไม่มีอันตราย) และเปิดโอกาสให้ว่าถ้าไม่ดีขึ้นให้มาได้ตลอดเวลา ทันที ทางเรามีคนคอยดูแลตลอด ถ้าจำเป็นเร่งด่วนก็มี EMS คอยรับ แต่ถ้ายังไม่สำเร็จ ก็ไปข้อ 3
3. พบกันครึ่งทาง ก็คือนอนสังเกตอาการไว้ก่อน อาจใช้เวลาแค่ 2-4 ชม. อาจดีขึ้นแล้วก็กลับได้ เช่น คนไข้เวียนหัวอาจดีขึ้นได้เร็ว หรือปวดท้องให้ยาแล้วอาจดีขึ้น คืออย่าเพิ่งรีบปฏิเสธว่าไม่ให้นอนตั้งแต่ตอนแรก แค่ประกันว่าถ้าไม่ดีขึ้นก็จะให้นอนพักค้างคืน แน่ๆ แต่ถ้าไม่สำเร็จ ก็ไปข้อ 4
4. ต้องยอมแพ้ให้นอนไปก่อน รุ่งเช้าส่วนใหญ่ขอกลับเพราะมักดีขึ้น
ลองทำดูเท่านี้เราก็อาจจะช่วยลดคนไข้ที่ไม่จำเป็นต้องนอนลงไปบ้างแบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น ทั้งหมดนี้ไม่ได้รังเกียจที่คนไข้จะนอน รพ. แต่ต้องการยกตัวอย่างการทำให้สมประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย เวลาเกิดความขัดแย้งทางความคิด สุดท้ายต้อง happy ทั้งสองฝ่าย / boss
สวัสดีค่ะ
- น่าจะดีหากจะประนีประนอมกันสองฝ่าย แต่ส่วนใหญ่ มุมมองคนป่วย คือฉันป่วย เขาย่อมตั้งเป้าไว้ว่าฉันจะนอน อย่างน้อยการให้คำแนะนำท่าจะดี แล้วให้ตัดสินใจ หากยืนกราน จะนอนดูอาการ หรือจะ admit แล้วแต่จะพิจารณาอีกครั้งนะค่ะ
- ยินดีให้บริการด้วยความเต็มใจค่ะ
admit for pateint want ก็ไม่น่าจะเสียหลาย ดีกว่าจะเสียอย่างอื่นอีกจะตามมา ค่ะ
ขอบคุณที่มา comment อย่างรวดเร็ว
มาร่วมแลกเปลี่ยนนะคะ ที่เคยเห็นนะคะ พอหมอจะให้นอนโรงพยาบาล ขอกลับไปบ้านก่อน เดินได้อยู่จะนอนทำไม
Nurse WARD/ นฤมล
สวัสดีค่ะ
- มาร่วมแลกเปลี่ยนค่ะ น่าจะดีที่จะพบกันครึ่งทาง หลายกรณีที่ผู้ป่วยมาโรงพยาบาลคิดว่าตนเองอาการหนักด้วยหลากหลายเหตุผล อย่างที่ boss กล่าวตามมุมมองของคนไข้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหนูคิดว่าการใช้เวลาและให้ความสำคัญกับการอธิบายพยาธิสภาพและพยากรณ์โรครวมทั้งนำมาใช้ในผู้ป่วยใน ในการอธิบายแผนการรักษาให้คนไข้ฟังนั้นเป็นหัวใจสำคัญและทำให้คนไข้พึงพอใจและกลับบ้านไปด้วยอาการ Happy นอนหลับฝันดีด้วยค่ะ
ขอแสดงความคิดเห็นในมุมมองคนไข้ครับ
ปกติคนไข้ก็ไม่อยากนอนโรงพยาบาลอยู่แล้ว
แต่ที่ต้องขอนอนแสดงว่ามีความกังวลต่อโรคที่เป็น
ถ้ามีการอธิบายให้เข้าใจ และอาจมีทางเลือก(ข้อ2) หรือพบกันครึ่งทาง(ข้อ3)
ก็น่าจะอุ่นใจคลายกังวลได้ครับ
อนุเทพ
บางครั้งผู้ป่วยก็ต้องการนอนโรงพยาบาลด้วยสาเหตุอื่น เช่น ผู้ป่วย OSCC ที่ถูกบุคคลในบ้านทำร้าย หรืออยู่บ้านคนเดียวไม่มีคนดูแลที่บ้าน หรือไม่ถูกใจคนที่ดูแล ซึ่งเริ่มมีมากขึ้น...แต่บางทีก็กลับกันซะงั้น...ทำยังง้าย...ยังไงก็ไม่ยอมนอนโรงพยาบาล...By Jan
ถ้าต้องยอมแพ้ให้นอนจริงก็ admit ไปเล้ย..อัตราครองเตียงจะได้เพิ่ม observe /admit พยาบาล IPD ดูแลเหมือนกัน แต่
ไม่เหมือนตอนทำ chart นี่แหละ.. เขียนเยอะจริงๆ เมื่อยมือน่ะ / nurse ward
ความขัดแย้งมักมาจากความคิดเห็น ที่แตกต่าง ต่างคนต่างมีเหตุผลและคิดว่าของตนเองสำคัญสุด หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมกันได้ก็ OK หรือต่างฝ่ายต่างรู้สึกว่าไม่เสียผลประโยชน์อะไรมาก (ฉันก็ได้ เธอก็ได้) ก็ OK แต่การขัดแย้งจะยึดเยื้อและรุนแรงเมื่อมีอารมณ์ร่วมด้วย จากประสบการณ์ปัญหาความขัดแย้งที่พบมากมักมาจาก การสื่อสารด้วยอารมณ์(เช่นโกรธ ไม่พอใจ น้อยใจ กลัว วิตกกังวล จากการถูกต่อรอง ไม่สนองความต้องการ และให้ข้อมูลไม่ชัดเจน ) ทำให้ไม่ตรงประเด็น หรือไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการ คนฟังจึงเกิดอารมณ์ คนสื่อสารก็พลอยเกิดอารมณ์เพิ่มไปอีก
ที่BOSSพูดเห็นด้วยทุกกรณีในแง่ของการจัดการกับปัญหา แต่หากแก้ต้นเหตุ คือการสื่อสารที่ไม่ใช้อารมณ์จะช่วยลดการขัดแย้งได้มาก / วรรณ จิตเวช
"พบกันตรงครึ่งทางก็แล้วกัน..เพราะมันไม่เหนื่อยดี" ลองเขยิบออกมาจากปัญหาตรงนั้นสักนิด
แล้วจะมองเห็นว่า...มันไม่ใช่เรื่องยากอันใดเลย ที่จะหาทางออก
บางครั้งการหาเพียงแต่เหตุผลมาตัดสินว่าต้องทำอย่างนั้น อย่างนี้
กลับไม่ได้ผลดีไปกว่า การยิ้ม...การยอมรับในความเป็นมนุษย์
(ศาสตร์และศิลป์ ต้องมีสัดส่วนที่ดีพอๆกัน) / morn