ใจที่เปิดกว้าง เส้นทางสู่ปัญญา


หากเพียงยอมที่จะเดินไปมองด้วยกันในแต่ละมุม ก็จะเข้าใจในมุมมองของแต่ละคน เปิดใจสักนิด ...ความขัดแย้งก็ไม่เกิด...สิ่งที่เกิดคือ ความสมานฉันท์ และการเรียนรู้ร่วมกันในความต่าง

 

คำกล่าวที่ว่า สติปัญญาเกิดจากใจที่เปิดกว้าง (Open mind)เป็นคำกล่าวที่ไม่เกินจริง เพราะคนเรา หากจะเรียนรู้สิ่งใดแล้ว สิ่งที่ต้องเปิดก่อนคือ ใจ หากใจเปิดที่จะรับรู้ กระบวนการเรียนรู้จะเกิดขึ้น เข้าใจผู้อื่น เชื่อมโยงสิ่งต่างๆได้ตามความเป็นจริง ความรู้ที่ได้รับนั้นแปรเปลี่ยนเป็นปัญญาจากการกลั่นกรอง จัดการความรู้ด้วยตนเอง สร้างสรรค์สังคมให้ก้าวไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้และสังคมแห่งความดีงาม

อย่างไรก็ตาม สติปัญญา การมองโลกแบบเชื่อมโยงแบบเป็นองค์รวม(Holistic) ต้องเกิดจากใจที่ไม่มีอคติ (Bias) และความหยิ่งยโส โอหัง อวิชชาที่มืดบอด

อึ่งอ่างที่พองตัวขึ้นเรื่อยๆอีกไม่นานมันก็จะท้องแตกตายเพราะความหยิ่งผยองของมัน น่าสงสารเสียจริง!!!

การเปิดใจให้กว้าง และ มองโลกแบบองค์รวม เป็นประเด็นที่ต่อเนื่องกัน ผู้คนที่มีปัญญาเดินเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ด้วยการพัฒนาตนเอง เรียนรู้จากภายใน สนใจใคร่รู้ รู้ก็บอกรู้ ไม่รู้ก็บอกไม่รู้และขวนขวาย  การฝึกตนเองเพื่อให้เปิดใจ เป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาด้วยให้ก้าวพ้นมายาคติที่ตัวเองสร้างขึ้น

ที่หยิบประเด็นเรื่องนี้มาเขียน เพราะเข้าไปคลุกคลีกับผู้คนมากมาย เจอด้วยตนเองหลากหลายฐานันดร และในกลุ่มของผู้คนที่เรียกตนเองว่า บัณฑิต แต่กลับมีอคติต่อการเปิดรับความรู้ใหม่ๆ เพราะอัตตา และความหลงผิด นอกจากไม่รับแล้วยังครอบงำด้วยความคิดจากฐานประสบการณ์ของตนเอง ชี้นำไปในทางที่ตนเองรู้แต่เพียงฝ่ายเดียว ไม่สนใจไม่รับฟังข้อเท็จจริง ไม่คิดเชื่อมโยงอย่างเป็นเหตุเป็นผล ใครบังอาจมาแนะนำยิ่งพาลกันไปใหญ่

เหตุการณ์ที่ผมพบเจอผู้คนเหล่านี้ ...สะท้อนใจผมเหลือเกินว่า หากผมปิดตนเอง ฉาบตัวเองด้วยอัตตาที่หนาหนัก ก็คงรู้ได้เท่านี้ไม่เกิดปัญญา ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสังคมที่รวดเร็ว สิ่งรอบตัววิกฤตขึ้นทุกขณะ ปัญหาใหม่ที่พิสดารมากขึ้น ถึงเวลาคับขันแบบนั้นแล้วจะเอาปัญญาที่ไหนมาแก้ไข....หากถือดีว่ามีความรู้ ก็คงเป็นความรู้เหี่ยวๆ ความรู้ที่มากมายแต่ไม่ได้ก่อเกิดปัญญา เข้าทำนองความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด

หากวิเคราะห์ลงลึกไป ก็จะพบว่า ผู้ที่ไม่ยอมเปิดใจ เพราะเขาเกิดมาเป็นแบบนั้นใช่หรือไม่...คำตอบคือ ไม่ใช่ ส่วนใหญ่เป็นเพราะสิ่งแวดล้อมที่ล้วนส่งเสริม ระบบการศึกษาที่สอนให้มีใจคับแคบ ระบบการเรียนรู้ที่สอนให้คนคิดแบบแยกส่วน  สังคมที่ต่อสู่ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดและเป็นหนึ่ง ตัดสินชี้ขาดด้วยการแข่งขัน  สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ทำให้เราปิดใจ ไม่รับฟังใคร จิตใจคับแคบลงทุกขณะ

ฝึกฝนตัวเอง...ให้เป็นบุคคลที่ถึงพร้อมด้วยปัญญา ด้วยการรู้จักถ่อมตน และขวนขวายเป็นบุคคลที่สนใจ ใคร่รู้ตลอดเวลา  ความเข้าใจในความเป็นมนุษย์ที่หลากหลาย ลดอัตตาลง เชื่อมั่นในศักยภาพของมนุษย์ คิดอยู่เสมอว่าทุกคนเติบโตจากฐานประสบการณ์ที่ต่างกัน ย่อมคิดหลากหลาย

มองสิ่งหนึ่งให้ครบทุกมิติก่อนตัดสินใจ และที่สำคัญที่สุดความมีคุณธรรม น่าจะเป็นหลักที่จะนำความรู้ เป็น คุณธรรมนำความรู้

มีเรื่องเล่าที่ผมเคยฟังอยู่ครั้งหนึ่งและจดจำมาถึงทุกวันนี้

<hr>  <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">มีตะเกียงดวงหนึ่งวางอยู่กลางห้อง </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">และมีชายสี่คนนั่งอยู่กันคนละมุม ชายคนหนึ่งเห็นแสงไฟเป็นสีเหลือง และได้บอกทุกคนในห้องว่าไฟของตะเกียงเป็นสีเหลือง แต่ชายที่เหลืออีกสามคนก็เถียงว่าไม่ใช่สีเหลืองหรอก เป็นสีแดง สีฟ้า สีน้ำเงิน….แต่ละคนก็ยืนยันในสิ่งที่ตาของตนมองเห็นโดยที่ยังนั่งอยู่ตรงจุดที่ตัวเองนั่งและมองเข้าไปกลางห้อง…จนในที่สุดก็เกิดขัดแย้ง ด้วยความเห็นที่ไม่ลงรอยกัน</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">หารู้ไม่ว่า ตะเกียงมี๔ ด้าน แต่ละด้านปิดด้วยกระดาษสีที่ต่างกัน ทำให้แต่ละมุมแสงของสีแตกต่างกัน หากเพียงชายทั้งสี่  ยอมที่จะเดินไปมองด้วยกันในแต่ละมุม ก็จะเข้าใจในมุมมองของแต่ละคน เปิดใจสักนิด …ความขัดแย้งก็ไม่เกิด…สิ่งที่เกิดคือ ความสมานฉันท์ และการเรียนรู้ร่วมกันในความต่าง</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ผมจำเรื่องราวนี้ได้เสมอ…และผมเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพื่อจะเตือนตนของผมเองครับ </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p>  </p><p></p><p align="right">จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร</p><p align="right">เชียงใหม่</p>

หมายเลขบันทึก: 87613เขียนเมื่อ 30 มีนาคม 2007 19:43 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 17:54 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (15)

อ่านเรื่องราวชวนคิด พร้อมภาพประกอบที่ให้อารมณ์และความรู้สึกครับ...

ความแตกต่างระหว่างบุคคลย่อมทำให้เกิดการคิดที่แตกต่าง จนขยายเป็นความขัดแย้ง..

แต่ความขัดแย้งไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายเสมอไป การมองความขัดแย้งในเชิงบวกและพยายามบริหารความขัดแย้งในทางสร้างสรรค์...

ผลลัพธ์ดี ๆ ย่อมเกิดขึ้นได้ครับ...

ขอบคุณมากครับ..

ดีจังครับ ภาพสวย เรื่องดี เป็นอาหารสมองชั้นดีครับ

ขอบคุณครับ

สวัดีครับ  คุณเอก...

ผมเพิ่งกลับออกมาจากที่ทำงาน  หลังจากพูดคุยกับผู้บริหารหลายเรื่องหายอย่าง...เหมือนวันพักผ่อนแต่ไม่ได้พักผ่อน  กระนั้นก็ไม่เป็นไรครับ...วันนี้ใช้ "งาน"  บำบัดจิตใจได้ดีไม่น้อย   ง..มีนิสิตหลายคนหลายท่านมารอปรึกษาเรื่องงาน  เราพูดคุยและให้กำลังใจกันอย่างคนกันเอง

......

ขอบคุณกับแนวคิดอันดีของการ "เปิดใจ"  โดยเฉพาะผมกำลังมองว่าการเปิดใจ คือ การเริ่มต้นของการพัฒนาตนเอง....ยิ่งในองค์กรการทำงานผมยิ่งอยากให้องค์กรได้เห็นความสำคัญของการสร้างเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Dialogue)  ให้มากขึ้น  ...จะได้เป็นเวทีการเปิดกว้างและเปิดใจสู่การเป็น "ส่วนร่วม"  ของกันและกัน

......

ภาพที่ชีวิตและจินตนาการมากครับ...

....

ขอบคุณมากครับ...

พรุ่งนี้ผมจะกลับบ้านไปเติมเต็มกำลังใจอีกสักครั้ง

สวัสดีค่ะคุณจตุพร

เบิร์ดชอบเรื่องราวและภาพประกอบของบันทึกคุณเสมอ..บันทึกนี้ก็เช่นกัน

ความขัดแย้ง..อคติก็มีส่วนดี เพราะทำให้ไม่เชื่ออะไรง่ายๆและทำให้เกิดการเรียนรู้ที่จะบริหารความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์..ถ้าไม่มีความขัดแย้งในมุมมองเรื่องตะเกียง คุณจตุพรจะจารเรื่องนี้ไว้ในใจหรือเปล่าคะ.. ^ ^

สวัสดีครับ

  • อยากบอกว่าชอบบันทึกนี้จังเลยครับ
  • อ่านแล้วได้มองกลับมาที่ความคิดของตนเองในเรื่องที่สำคัญอย่างมาก2 เรื่อง  คือ การเปิดใจ  และความขัดแย้งหรืออคติ
  • เห็นด้วยอย่างยิ่งครับว่ายิ่งใจที่เปิดกว้าง  เรายิ่งได้เรียนรู้ และเติบโต  ยิ่งมีความอ่อนน้อมถ่อมตนหนุนเสริมแล้วยิ่งดีขึ้นไปอีกครับ  บางทีก็เสียดายกับวันเวลาที่ผ่านมา  ในบางเรื่อง  บางมุมที่เราก็หลงมีอคติ  และปิดกั้นตนเองโดยที่เราก็ไม่รู้สึกตัว  ทุกวันนี้ก็ยังพยามที่จะแง้มใจที่อาจจะยังปิดกั้นหรืออคติโดยที่เราไม่รู้สึกตัวอยู่เสมอๆครับ
  • กับความขัดแย้ง  เมื่อก่อนเป็นคนที่ไม่อยากให้เกิดความขัดแย้ง  กลัวความขัดแย้งมาก มีความคิดและตรรกที่ไม่ค่อยถูกต้องนักกับความขัดแย้ง  เพราะหลักการที่ว่าคนเราน่าจะรู้ว่าอะไรดีไม่ดี  ถูกไม่ถูก  ควรไม่ควรกันทุกคน  แต่เมื่อต้องอยู่กับความขัดแย้งมากๆ บ่อยๆและดูเหมือนจะได้ข้อสรุปบางอย่างที่อาจจะเป็นจริงก็ได้ครับว่า  เราอยู่ในโลกของความขัดแย้ง  ความแตกต่าง และความขัดข้อง  แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่ดีเสมอไป  เหมือนความเห็นของหลายท่านข้างต้นครับ  สรุปแล้วก็ต้องศึกษาและเรียนรู้  ทำความเข้าใจกับความขัดแย้ง รวมทั้งแนวคิดต่างๆที่เกี่ยวกับการจัดการความขัดแย้งต่อไปครับ
  • ภาษาอาจจะสื่อความที่เราต้องการสื่อออกไปไม่ได้ทั้งหมดตามที่เราต้องการ  ผมอาจะต้องเรียนรู้อีกมากแต่คิดว่าพี่เอกคงจะเข้าใจนะครับ...               สุพัฒน์....ปาย..

 

P

ผมเห็นด้วยเรื่อง "การบริหารความขัดแย้ง" ครับ ในสังคมคงหลีกเลี่ยงไม่ได้กับความขัดแย้ง ซึ่งเราก็เห็นกันเสมอ ...จนเราเริ่มว่าประเทศเราไม่ไหวเเล้ว

 

ไม่เข้าใจ และ ไม่เข้าถึง....ไม่เปิดใจ และ ไม่จริงใจ ล้วนแล้วแต่ก่อปัญหาตามมามากมาย

 "ความขัดแย้ง"

ผมคิดว่า เราบริหารได้ เพราะเราต้องเปิดใจมากๆด้วย เงื่อนไขเล็กๆแต่สำคัญ เหล่านี้บางครั้งก็มองข้ามไป  แต่มองปัญหาอื่นๆมันใหญ่กว่า แก้เมื่อไหร่ไม่สำเร็จสักที

(บ่นเล็กน้อย)

ขอบคุณคุณดิเรกครับที่มาเติมเต็ม

P

 

ขออนุญาตเรียก "พี่พลเดช" นะครับ

เป็นการถอดบทเรียนตัวเองครับ พอดีช่วงนี้ผมเจอเหตุการณ์ทำนองนี้พอดีครับ

ลองมานั่งคิด และเขียน เพื่อว่าจะเตือนตัวผมเอง และ ให้ท่านอื่นๆมาเติมเต็มไปด้วย

ขอบคุณพี่มากนะครับผม ที่มาให้กำลังใจ มาเยี่ยมบันทึกของผม

P

ผมอ่านบันทึกคุณพนัส หลายๆบันทึกช่วงนี้แล้ว สะท้อนใจหลายเรื่อง

สงกรานต์ผมจะกลับบ้านไปรดน้ำ ดำหัวแม่ของผม และผมจะทำให้แม่มีความสุขมากๆครับ

..............

คุณพนัส ได้เปิดใจแล้ว ทำให้ปิยมิตรเข้ามาเยอะแยะครับ เพราะได้เห็นตัวตนที่แท้จริง นิสิตที่มาปรึกษานั่นก็หนึ่งตัวอย่าง ที่โชคดีมีที่ปรึกษาเรื่องชีวิต

.............

ผมถอดบทเรียนตัวเอง หลายคราที่ผมตกอยู่ในวงล้อมของ บัณฑิตปลอมๆ ที่แบกอัตตาเต็มบ่า หัวเราะ เย้ยหยัน ถากถาง...ผมก็ยอมรับโดยดุษฎีว่าผมไม่รู้ ผมอยากรู้ ผมคงต้องศึกษาอีกมาก ...ไม่จบสิ้น

นึกในมุมกลับ ผมก็คิดได้นะว่า หากปิดตัวเองด้วยอคติในใจแล้ว เราคงตกหลุมพรางตัวเองแน่แท้

เปิดตา เปิดใจ รับรู้ครับ...ทุกอย่างเป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต และมีคุณธรรมเป็นเครื่องนำทาง

เวลาเหลือน้อยลงแล้วครับ

P

หากจะบอกว่า "คนคอเดียวกัน" ก็คงไม่ผิดนะครับ ขอบคุณที่มาเยี่ยมเยียนที่บ้านของผม

นานๆครั้ง ที่ผมจะระบาย ถอดบทเรียนตัวเองครับ เพื่อเป็นจดหมายเหตุให้กับตัวผมเอง และอาจเกิดประโยชน์แก่คนเดินทางเข้ามา อาจจะพลัดหลง หรือ ตั้งใจเข้ามาก็ตาม

เป็นการเรียนรู้ร่วมกัน

ความเห็นและกำลังใจผ่านการให้ข้อเสนอแนะ ข้อคิดเห็น สำคัญยิ่งสำหรับผมครับคุณเบิร์ด

ขอขอบคุณอีกครั้งนะครับ

P
น้องหมอ kmsabai

เป็นเพื่อนปรึกษาเรื่อยมา..และน้องเป็นผู้ที่ทำให้ผมพัฒนาตนเองอย่างไม่ลดละ

ผมจำได้ว่า เราคุยประเด็นนี้ด้วยกันบ่อยๆนะครับ และทุกครั้งเราก็ได้ถอดบทเรียนตัวเองด้วยกัน เรียนรู้การพัฒนาตนเองจากภายใน ที่หลากวิถี หากแต่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ สร้างปัญญา เพื่อเป็นหลักชัยของชีวิต

เราคงต้องเจออีกเรื่อย เรื่อง "ความขัดแย้ง" เป็นบทเรียนให้เราเลื่อนชั้นอย่างที่ผมเคยเขียนในบันทึกเก่าๆ หากมองในแง่ดีก็ทำให้เราได้พัฒนาตน

ขอเพียงเรามีหัวใจที่ไร้อคติ การเรียนรู้เพื่อสร้างปัญญา เกิดขึ้นกับเราทุกครั้งที่เราเปิดใจ

ขอบคุณมากครับน้อง kmsabai

วันนี้ก็ถูกถามเช่นกันค่ะ ว่า หากเจอความขัดแย้ง โดยเฉพาะขัดแย้งกับผู้มีอัตตาสูงทำอย่างไร....

คำตอบที่ให้ไปก็คือลดอัตตา เปิดใจพูดคุย ฟังมุมมองของเขา ... เผื่อเขาจะเปิดใจและลดอัตตามาบ้าง ... หากทำอย่างไรก็แล้ว เขายังคงเป็นเช่นนั้น สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด ก็คือ ทำใจ... ปล่อยวางเขาไป...

อ.
P

ช่วงไม่กี่วันผมเจอเหตุการณ์เหล่านี้ครับ และไม่สบายใจเลย เพราะคิดว่าความอิสระด้านความคิดของผมถูกกดลงไป

และการที่ไม่สามารถเสนอความเห็นได้ ขัดความตัวของตัวเองมาก

ผมเกือบจะตั้งคำถามเมื่อไม่กี่วันว่า หากผมจำเป็นที่จะต้องทำงานกับบุคคลที่มากด้วยอัตตา ไม่ฟังใครเลย ผมควรทำอย่างไร

คำตอบสุดท้ายก็ ..ปล่อยวางเขาไป...นั่นหละครับผม

  • ขอบคุณคุณเอกมากนะครับ
  • สำหรับบันทึกดีๆ เช่นนี้ ประกอบกับเรื่องเล่าเรื่องตะเกียงที่เป็นตัวอย่างได้อย่างดีหากแต่ละคนได้ดึงกระดาษสีที่ปิดอยู่ออกในแต่ละด้าน ก็คงจะเห็นตัวรู้ของตะเกียงที่แท้จริง
  • ขอบคุณสำหรับภาพเคลื่อนไหวที่ น่าสนใจจริงๆ ครับ โดยเฉพาะภาพล่าง ที่มีจุดสีแดงนิ่งๆ ด้านบน แต่ในน้ำ กลับไม่นิ่ง ก็คงเป็นตัวอย่างเช่นเดียวกับตะเกียงใช่ไหมครับ หากคนเห็นสองคน คนหนึ่งมองบนน้ำ อีกคนมองในน้ำ
  • ผมเคยยกตัวอย่างเรื่องให้คนนั่งมอง แล้วมองลูกบอลเหมือนกันครับ แล้วถามว่าสิ่งที่เห็นนั่นกลมหรือเปล่า จะต้องผสมแนวคิด เปิดใจเท่านั้นถึงจะได้คำตอบว่ากลมหรือไม่
  • องค์กรในเมืองไทยก็คงต้องประสานเข้าหากันในเชิงพัฒนา ไปด้วยกันครับ ถึงจะนำพาองค์กรรวมได้ครับ
  • ขอบคุณมากนะครับ ดีใจที่ได้คุยด้วยครับ

 

P

เมื่อเปิดใจให้กว้างเราก็จะเห็นมุมแต่ละมุมที่เป็นอยู่อย่างที่มันเป็น มองโลกแบบโลกเป็นอยู่ครับ

ความขัดแย้งคงลดน้อยลง ความสมานฉันท์ก็เพิ่มขึ้น

แต่ก็นั่นหละครับ เป็นการเรียนรู้ หากไม่มีคุณธรรมกำกับก็เป็นอันตราย การก้าวพ้นอัตตาของตนเองเป็นสิ่งที่ทำได้ยากย่งนะครับ โดยธรรมชาติเราจะมีอัตตาเสมอๆกับการมองสิ่งหนึ่ง ไม่ว่าจะเหตุผลใดก็ตาม

การฝึกการมองสิ่งหนึ่งอย่างรอบด้านจึงเป็นการฝึกชะลอความรุนแรงของแรงตอบโต้สิ่งที่ขัดแย้งกับตนเอง

ภาพที่ผมนำมาประกอบ ผมก็อยากให้คนมองเช่นนั้น ภาพเดียวกัน แต่หากมองกลับด้าน มองในมุมกลับ ก็พบว่า มันต่างกัน แท้จริงมันคือสิ่งเดียวกัน เพียงแต่มันแสดงรูปในพื้นที่ต่างกันนั่นเอง...เมื่อเรารับรู้ตามนี้ เราก็จะเข้าใจสิ่งที่เห็น

เรื่อง "การมองลูกบอล" น่าสนใจนะครับ ไว้คุณเม้งมีเวลาว่างๆ ขอเขียนบันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างนะครับ

ดีใจที่ได้คุยและแลกเปลี่ยน ในวันนี้นานร่วมชั่วโมงเลย ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่า เพราะพรหมลิขิต ให้มาเจอกัน

ขอให้กำลังใจนะครับเพื่อน

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท