คุณขา...คุณ ๆ เจ้าขา....คุณเคยทุกข์เพราะยึดมั๊ยคะ ?
อ้าว...มาถามคำถามแปลก ๆ อีกแล้วล่ะ สงสัยจะเพี้ยนหรือเปล่า ?
ครือว่า...อิชั้นน่ะอยากจะมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง..การสลัด ๆ สิ่งของบางอย่าง....ฮั่นแน่...รู้นะว่าคิดอะไรอยู่ ไม่ต้องคิดลึก...การสลัดและปลดปล่อยความทุกข์ทิ้งไปต่างหาก
เขาว่ากันว่า (ไม่รู้ใครว่า...แต่อิชั้นเห็นด้วย)....คนเรามักจะมองเรื่องคนอื่นมากกว่ามองตนเอง ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า ชอบจุ้นหรือยุ่งกับเรื่องคนอื่นนั่นแหล่ะ (..นิสัยแบบนี้...อิชั้นเห็นด้วย 100 เปอร์เซ็นต์เพราะอิชั้นก็เป็นด้วย ฮา.....) เป็นอย่างนี้กันทั้งโลก โลกจึงวุ่นวาย ไม่ว่าที่บ้าน ที่ทำงาน หรือที่ไหน ๆ เพราะเป็นธรรมชาติของมนุษย์ คือชอบมองออกไปนอกตัว ดังเช่น
"คนเราชอบรู้เรื่องของชาวบ้าน รู้ไปหมดแหละว่าคนโน้นชอบนินทาคนนี้ คน ๆ นี้เป็นกิ๊กกับคนนู้น แต่พอถามเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเองกลับไม่รู้อะไรเลย "
อิชั้นได้ยินมาแล้วก็นึกขำ และ...เห็นด้วยกับความจริงนี้
บางคนชอบตำหนิคนอื่น ตำหนิสถานที่ ตำหนิโน่น..นั่น..นี่ สารพัด เห็นแต่แง่ไม่ดีตลอดเวลา เจออะไรก็บอกไม่ไหวไปหมด บ่นจนเป็นนิสัย แล้วก็ไม่รู้ตัวนะว่าเป็นคนขี้บ่น กลายเป็นความเครียด เครียดมาก ๆ ก็เป็นทุกข์อีก เพื่อนมาเตือน ก็ปฏิเสธอีกแน่ะว่าฉันไม่ได้เป็นคนอย่างนั้นซักหน่อย พูดไปพูดมาก็ว่าเพื่อนอีกว่า ไอ้เพื่อนคนนี้ไม่ไหวเลยช่างติจัง เพราะลืมดูตนเอง
การไม่พอใจผู้อื่น แล้วก็เกิดความเครียด...เป็นทุกข์ตามมา แถมชอบให้ความทุกข์ ความเครียดติดอยู่กับตัวเอง ยึดแน่นเข้า แน่นเข้า นานวันเข้าก็เลยสลัดความเครียด ความทุกข์ไม่ออก เพราะมันแปลงกายเป็นชาวเกาะ เกาะติดแน่นมานาน ก็ยิ่งทุกข์ เครียด นิสัยไม่รักดี
พฤติกรรมข้างต้น....ต้องระวังนะ...จะบ่มเพาะอารมณ์ไม่ดีจนเป็นนิสัย...คนไม่รักดี พอเป็นความเคยชินแล้วจะถอนยาก เหมือนติดยาแล้วเลิกยากนั่นแล...
สิ่งที่ควรจะทำคือถ้ามีใครมาตักเตือนก็ควรจะเปิดใจรับฟังและเฉลียวใจบ้างนะ นิสัยไม่ดีจะได้ไม่ติดตัว
โบราณเขาว่า..
นกไม่เห็นฟ้า...ปลาไม่เห็นน้ำ...หนอนไม่เห็นอาจม
ทำไมถึงไม่เห็นก็เพราะนกอยู่กับฟ้ามาตั้งแต่เกิด หนอนก็อยู่กับอาจมมาตั้งแต่เกิด มันอยู่จนคุ้นเคยและเกิดความเคยชินจึงมองไม่เห็น
คนเราก็เหมือนกัน อยู่กับความทุกข์แต่ไม่เห็นความทุกข์ เหมือนคนที่จน...เครียด..กินเหล้า กินทุกข์เข้าไปแท้ ๆ ยังไม่รู้ตัวอีก
ทีนี้เราจะมองเห็นได้ต้องอาศัยสติ ให้สติเป็นผู้มอง เมื่อบ่อยเข้า หรือเมื่อสติเข้มแข็งขึ้นก็จะรู้ว่าที่ผ่านมาต้องหมดเนื้อหมดตัว เปลืองตัวเปลืองใจไปกับอารมณ์แห่งทุกข์ไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แล้ว แบกหามมันมานานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ แบกหามไม่พอยังไม่ยอมปล่อยอีก ยึดติดแน่นประหนึ่งกาวตราช้าง....ฮา...
ถ้ามีความโกรธ ความเครียดหรือความทุกข์ไปเรื่อย ๆ เราจะไม่มีทางออก ต้องเริ่มต้นจากการมีสติ หันมามองดูตัวตนของเราเอง อย่ายุ่งเรื่องชาวบ้าน หมั่นมองจิตมองใจตนเองบ่อย ๆ แล้วเราจะเห็นตัวเองไม่ลืมตัวง่าย ๆ
การมีสติ พิจารณาตนเองจะทำให้เห็นความเครียด หงุดหงิดที่สะสมมานาน มองเห็นความเคยชินที่ฝังแน่นอยู่ในจิตใจ เมื่อยึดเอาไว้มันก็ต้องรังควาน และก่อกวนเราอยู่ลึก ๆ โดยไม่รู้ตัว
ก่อนที่เราจะมีสติ สิ่งที่ทับถมต่าง ๆ เราไม่รู้จะจัดการอย่างไรเพราะไม่รู้จักมันดี แต่เมื่อรู้จักปล่อยและะเข้าใจที่มาที่ไป ก็จะปล่อยวางได้ เกิดความสงบสุขขึ้นมาในใจ ดังเช่นเด็กๆ ที่ไม่มีความทุกข์ก็เพราะเด็ก ๆ ยังไม่รู้จักการยึดติดความทุกข์ไงล่ะ
"การปล่อยวางสามารถทำได้เพราะอาศัยสติเฝ้าดูความรู้สึกนั้นโดยไม่หนีจนเกิดปัญหา คือความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่ามีสาเหตุจากอะไร เมื่อเกิดความรู้ความเข้าใจ ก็เกิดความเห็นใจ แล้วเมตตาและการให้อภัยก็เกิดขึ้นตามมาในที่สุด"
ตื่นเช้ากับการอ่านบันทึกดีๆ ขอบคุณพี่เล็กมากครับ
อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณเล็ก
การที่มีผู้อื่นมากระทบจิตใจเรา ครูอ้อยจะคิดเสมอว่า " ไม่มีมาร บารมีไม่เกิด "ค่ะ คุณเล็ก
คุณเล็กคะ
ครูอ้อยคะ
เลี้ยงหมาด้วยความรักมา 3 ชั่วอายุหมาแล้วค่ะ...ฮิฮิ และขอยืนยันว่าจะเลี้ยงไปจนกว่าตัวเองจะไม่มีแรง
ขอบคุณสำหรับคำเชิญ จะไปเยี่ยมหลังตอบครูอ้อยค่ะ
เคยแบกทุกข์มานาน..
แต่ต่อนี้ไปจะปล่อยความทุกข์...และโยนมันทิ้งไปกับทะเลค่ะ
ดีมากเลยครับ เพราะการปล่อยวางจะทําให้ใจเราเป็นอิสระจากความทุกข์นั้นๆได้
ขอให้ทุกคนมีความสุขมากๆนะและขอให้ทุกคนฝึกปล่อยวางให้ได้ทุกๆเรื่องที่ต้องการนะครับ