คุณฉัตรลัดดา จากศูนย์อนามัยเขต 1 ของกรมอนามัย มาเล่าประสบการณ์การเอา KM ไปสร้างการทำงานกับภาคี ได้อย่างออกรสชาติเมื่อคราวที่เราจัดตลาดนัดเมื่อวันที่ 19-20 ที่ผ่านมา ผมรอว่าจะมีใครมาพูดถึงไหม ปรากฏว่ายังไม่มี เลยมาขอเล่าซะหน่อย ด้วยประทับใจในสิ่งที่ได้ยิน
คุณฉัตรลัดดาเล่าว่าตัวเองเคยรับผิดชอบงานพัฒนาบุคลากรของศูนย์ก่อนที่งานนี้จะถูกยุบ แล้วต้องมาดูแลงานสิ่งแวดล้อมแทน
เมื่อครั้งดูแลงานพัฒนาบุคลากร มีนิสัยชอบเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ โดยเฉพาะสารพัดเทคนิค หรือแนวคิดใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น ISO, TQM และอีกสารพัดเรื่องที่ใครต่อใครเอามาบอกให้หน่วยงานทำ
เข้าใจว่านี่อาจจะเป็นสาเหตุให้เธอมาสนใจเรื่อง KM
ก่อนหน้าที่จะรู้จัก KM สิ่งที่เธอชอบมากคือการเอาความรู็ท่ได้จากการเรียนรู้ของตัวเองไปถ่ายทอดให้คนอื่นฟังต่อ ด้วยตัวเธอเองเห็ฯว่ามีประโยชน์ จึงคิดว่าถ้าคนอื่นด้รู้ก็จะเป็นประโยชนในการทำงาน
เมื่อต้องมาทำงานสิ่งแวดล้อม ต้องไปทำงานผ่านคนอื่น ก็เลยติดนิสัยเอาเทคนิคสารพัดไปสอน หรือถ่ายทอดต่อให้กับภาคี พร้อมกับแนะนำว่าจะเอาเทคนิคหรือแนวคิดเหล่านี้ไปใช้ต่อกับงานของกรมอนามัยได้ยังไง
พอมารู็จัก KM ที่เน้นว่าควรเริ่มที่การ ลปรร เพราะทุกคนน่าจะมีประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ในเรื่องเดียวกัน และการ ลปรร อาจจะช่วยให้การทำงานที่มีเป้าหมายร่วมกันได้ผลดีขึ้น เธอก็ลองเอาวิธีการนี้ไปทำกับภาคี
เธอได้พบว่า การให้คนอื่นเล่าประสบการณ์การทำงาน และวิธีทำงานจากมุมมองและการตีความของเขา ทำให้คนทำงานมีความรู้สึกเป็นเจ้าของงาน ในขณะเดียวกันเธอบอกว่า ตอนนี้รู้แล้วว่าการรับรู้ประสบการณ์คนอื่น ทำให้งานเราสำเร็จดีขึ้นได้ยังไง เพราะนอกจากคนเล่าจะรู้สึกเป็นเจ้าของเรื่องมากขึ้น คนฟังอย่างเธอก็ณุ้ว่าจะต่องานจากมุมของกรมอนามัยได้ยังไง
กลายเป็นว่าตอนนี้ถ้าจะทำงานกับภาคีให้ได้ผลต้องใช้เทคนิค ลปรร ทำให้แนวคิด และวิธีการของ KM กลายเป็นวิธีการหลัก ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องที่เอาไปลองใช้ดกับการสร้างภาคีเครือข่าย
ผมนึกถึงเรื่อง transactional analysis ที่วิเคราะห์ว่าคนเราจะพูดกันได้ดี ต้องรู้จักสื่อให้ถูก Mode โโยเขาแบ่ง mode ของการสื่อสารไว้หลาย mode ใครสนใจไปหาอ่านเอาได้ครับ
แต่ที่ผมอยกาเล่าต่อคือจากการเล่าของคุณฉัตรลัดดา ผมเลยได้ข้อสรุปไปบอกต่อด้วยความมั่นใจว่า การทำงานผ่านคนอื่น และต้องทำให้คนอื่นมา อินกับงานที่เราต่างมีเป้าหมายร่วมกัน ใช้วิธีสร้างความเป็นเจ้าของด้วยเทคนิค ลปรร จะได้ผลดี อย่าไปส่งสอน หรือชวนเขาทำแผนแบบที่พวกเราชอบทำกันมาแต่เดิม หรือแม้กระทั่งเอา งปม ไปล่อแล้วชักชวนให้มาทำโครงการด้วยกัน
เพราะทั้งหมดจะกลายเป็นการทำงานให้กับเรา ทั้งทั้เขาเองก็มีเป้าหมายอยากให้ชาวบ้านมีสุขภาพดีเหมือนเรา แต่เพราะเข้าหาผิดวิธี
เลยกลายเป็นการหลอกใช้งานแทนที่จะเป็นการไปช่วยงาน
ู
เรียกว่าใช้ KM สร้างหุ้นส่วนความเป็นเจ้าของ ได้กันทุกฝ่าย ใช่มั๊ยครับหมอ
ผมเองได้บทเรียนตัวอย่างจากที่ครูนง กับคุณสิงห์ป่าสักไปเล่าให้ฟัง ซึ่งชัดเจนมากว่าการ ใช้วิธี ลปรร เป็นการสร้างการเรียนรู้ที่ได้ผลดีแบบหนึ่ง มันอาจดูเหมือนไม่มีการให้ความรู้ โดยผู้รู้ แต่มันมีการเรียนรู้เกิดชึ้นในทุกคนอ่างแน่นอน
ผมพบว่าคนที่ทำ KM โดยเน้นการ ลปรร tacit knowledge พอทำไปแล้วจะเพิ่มความยอมรับนับถือคนอื่นมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับนักวิชาการที่เคยเชื่อว่าตัวเองมี explicit knowledge ที่มากกว่าคนอื่น เลยชอบเอา explicit knowledge ไปเป็นเครื่องมือในการทำงาน
พอหันมารู้จัก tacit knoweledge และวิธีเอา tacit knowldge มาทำงานก็จะพบพลังในการทำงานที่มีอยู่ในคนอื่นๆเต็มไปหมด
เพราะฉะนั้นถ้าจะพูดให้ชัดๆก็ต้องบอกว่า ใช้ KM ส่วนที่เป็นการ ลปรร tacit knowledge จะสร้างการมีส่วนร่วมได้ทุกฝ่ายและทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา การเกษตร หรือสาธารณสุข และก็พัฒนาชุมชน ถ้าจะให้ครบ 4 กระทรวงหลักแบบที่เคยพูดถึงกันในสมัยก่อน