ความปรารถนา ๔ ประการข้างต้น (ดูในสูเจ้าปรารถนาสิ่งใดในชีวิต ? )ไม่สามารถเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ได้ เพราะ
อนึ่ง ใน ๔ ประการ ก็อาจมีข้อขัดแย้งกัน เช่น บางคนร่ำรวยแต่ขาดเกียรติยศชื่อเสียง ...หรือบางคนมีเกียรติยศชื่อเสียงสูง แต่ก็มิใช่ว่าจะร่ำรวยมากนัก (เพราะส่วนหนึ่ง ต้องเอาเงินไปแลกเกียรติยศชื่อเสียงมา) ...ดังนี้เป็นต้น
ความบกพร่องในสิ่งเหล่านี้ บางคนอาจเป็น ปม ซึ่งสังเกตได้ไม่ยากนักในสังคม หรือเรื่องราวในอดีตก็มีผู้บอกเล่าไว้หลายเรื่อง เช่น...
ตอนที่นโปเลียนจะสถาปนาเป็นเจ้า สมเด็จพระสันตปาปาก็จะสวมมงกุฏให้ แต่ในขณะนั้น นโปเลียนก็จับมงกุฎมาสวมเอง โดยบอกว่า อาณาจักรนี้ข้าพเจ้าแสวงหามาโดยตัวเอง...ซึ่งเรื่องนี้ นักจิตวิทยาบอกว่าเป็น ปม ของนโปเลียน...
ประมาณร้อยปีที่ผ่านมา... ชาวจีนที่อพยพมาพึ่งโพธิสมภารในเมืองไทย จากเสื่อผืนหมอนใบก็สร้างฐานะเป็นเถ้าแก่ได้โดยอาศัยความขยัน ...เถ้าแก่บางคนก็มี ปม จึงได้สร้างสาธารณกุศลต่างๆ เช่น สร้างถนน สร้างวัด สร้างศาลา ...ภายหลังก็ได้รับการยอมรับ บางคนก็ได้บรรดาศักดิ์เป็นถึงคุณพระ คุณหลวง...เป็นต้น
บางคนมีความเพียบพร้อมทั้งทรัพย์สมบัติและเกียรติยศชื่อเสียง แต่บางครั้งก็ได้มาโดยใช้วิธีการไม่ค่อยถูกทำนองคลองธรรม จึงขาดความพูมใจในตัวเอง ...บางคนก็มีลูกหลานบริวารนำความความยุ่งยากเดือดเนื้อร้อนใจมาให้ไม่สิ้นสุด... หรือบางคนในบั้นปลายชีวิตร่างกายก็กลายเป็นรังของโรคาพยาธิ สามวันดีสี่วันไข้ ต้องทนทุกข์ทรมารต่างๆ นานา...เมื่อประสบกับสิ่งไม่จำนงหวังเหล่านี้ โทษอะไรก็ไม่ได้ บางคนก็เลยโทษเวรโทษกรรม... สาเหตุเหล่านี้ทำให้หลายคนฝันถึงความเป็นอยู่ที่สุขสบายกว่านี้ในอนาคต นั่นคือ สวรรค์...
อ่านบทความของท่านทั้งสองตอนแล้ว ผมนึกถึงคำให้พรของพระที่ว่า
อายุ วรรณะ สุขะ พละ (เขียนถูกไหมครับ)
ผมว่าการอยากได้อยากมีทั้ง 4 อย่างนี้ไม่ผิด
แต่ถ้าผิดคือ การอยากจนเกินความพอดี
หรือที่ตอนนี้กำลังฮิตคำว่า"เศรษฐกิจพอเพียง"นั่นเอง
ผมได้ฟังท่านอาจารย์คนหนึ่งสอนว่า
การที่เราจะพอก็ต่อเมื่อเรารู้จักให้
แสดงว่าเราพอแล้ว เราเต็มแล้วจึงให้คนอื่นได้
หลังจากนั้นผมก็หาอ่านหนังสือเกี่ยวกับการให้ทาน
สรุปได้ความว่า การให้นั้นผู้ให้ ผู้รับ และของที่ให้ต้องบริสุทธิ์
ซึ่งคิดว่าคงทำได้ยากเหมือนกัน
เพราะผมยากที่จะรู้ว่า คนรับๆ ไปแล้วนำไปทำใสสิ่งที่บริสุทธิ์หรือเปล่า อย่างการจ่ายเงินช่วยผู้ประสพภัยสึนามิก็มีข่าวโครมๆ ว่า เงินจำนวนมากไปไม่ถึงผู้ประสพภัย (แล้วมันไปเข้ากระเป๋าใคร)
จากการที่จะนำไปทำบุญ กลายไปเป็นให้เงินโจรในคราบนักบุญไปซะนี่
สุดท้ายขอขอบคุณท่านมากที่มาช่วยเขียนสะกิดความคิดของกระผม แต่กระผมสงสัยอยู่ครับ นอกจากการให้ทานแล้วยังมีวิธีดับความอยาก ความปรารถนาของตนเองและคนรอบข้างอีกไหมครับ
คุณโยมจันทร์เมามาย...
ถูกต้องครับว่า ความอยากได้ทั้งสี่ประการนั้นมิใช่สิ่งที่ผิด เพียงแต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนทั่วไปมีความอยากได้ทำนองนี้เหมือนๆ กัน และสิ่งทั้งสี่นี้ ได้เต็มเปี่ยม ถึงพร้อม สมบูรณ์ได้นั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก เท่านั้นครับ..
ส่วนประเด็นความคิดเห็นอื่นๆ นั้น อาตมาก็มีคำเฉลยอยู่แล้วในหัวข้อต่อไป นะครับ
เจริญพร
ฟังคำตอบจากท่านยิ่งชวนให้คิดอีกครับ
การได้สิ่งทั้งสี่ได้เต็มเปี่ยม ถึงพร้อม สมบูรณ์เป็นอย่างไร
รอคำตอบจากท่านอยู่ครับ ขอบคุณท่านอีกครั้งครับ
คุณโยมจันทร์เมามาย
เรื่องการได้มาทั้ง ๔ ประการนี้ สอนไว้หลายนัย แต่แยกประเด็นออกไป เช่น
เรื่องความร่ำรวย ก็สอนว่าให้ขยันค่อยๆ สะสม เหมือนปลวกที่ก่อจอมปลวกขึ้นมา และเหมือนผึ้งที่สร้างรวงรังขึ้นมา ...ผู้ใดไม่คำนึงความร้อนความหนาวยิ่งไปกว่าหญ้า ผู้นั้นแสวงหาทรัพย์ได้...เป็นต้น
เรื่องเกียรติยศ ก็สอนไว้ว่าหลายนัยเช่นเดียวกัน และสอนว่ากลับว่า ได้ยศแล้วไม่ถึงมัวเมา อีกด้วย...
แต่..สรุปว่า ทั้ง ๔ นี้ จะให้ถึงพร้อมสมบูรณ์ครบถ้วนนะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก ...ทำนองว่า ไม่ควรแสวงหาความเป็นเลิศจากความปรารถนาเหล่านี้ ...ซึ่งอาจโยงมาถึงเรื่อง พอเพียง ในตอนนี้ก็ได้...ประมาณนั้น
เจริญพร