ผมเขียนบันทึกนี้ตั้งแต่วันที่ ๒๑ ต.ค.๔๙ แต่เพิ่งนำขึ้น Blog ได้วันนี้ครับ
ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว( ๒๐ ต.ค.๔๙) ท้องฟ้ามืดครึ้มทั้งวัน ตอนกลางคืนฝนก็ตกอยู่เรื่อย ๆ เช้าระหว่างเดินทางไปอำเภอพระพรหม พบว่าปริมาณน้ำในคลอลส่งน้ำชลประมาณสูงมาก หันไปมองนาข้าวของเกษตรกรแล้วก็หวั่น ๆ แทน ก่อนเที่ยงวันฝนก็ตกโปรย ๆ ตลอดชี้ชวนให้เป็นหวัดได้อย่างดียิ่ง ใกล้รุ่งของวันนี้ (๒๑ ต.ค.๔๙) ลมกระโชกแรง ฝนตกพอประมาณ หวั่น ๆ อยู่ว่า ถ้าน้ำท่วมช่วงนี้ความเสียหายที่จะเกิดกับพืชอายุสั้นของเกษตรกรจะมีมากเพราะมีพื้นที่การปลูกเยอะ
วันนี้ทั้งวันก็คงใช้วันหยุดตรวจสอบเอกสารหลักฐานการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยของฤดูกาลที่แล้ว ๑,๕๐๐ กว่าราย เพื่อดูความถูกต้อง ผิดไม่ได้เลย จึงต้องมีสมาธิและละเอียด เวลาวันทำงานปกติก็ไม่สามารถทำได้เพราะอยู่ภาคสนาม เรียบร้อยแล้วส่งให้ทาง ธ.ก.ส. เตรียมจ่ายเงินช่วยเงินต่อไป เวลาในการทำงานนั้นปัจจุบันนี้ขนาดมีเครื่องมือหลายอย่างอำนวยความสะดวก ก็ไม่ทันครับ การบริหารเวลาทำยากกว่าสิ่งอื่นใด ทุกอย่างรีบและเร่ง เวลาน้อยแต่งานมากและมีเงื่อนไขเวลา
พูดถึงภัยธรรมชาติแล้วสงสารเกษตรกรจริง ๆ ครับ อาชีพการเกษตรมีความเสี่ยงกับธรรมชาติสูงมาก ยิ่งถ้าเป็นพื้นที่ราบลุ่มด้วยแล้ว น้ำท่วมได้รวดเร็วมาก แน่นอนว่าพืชผลการเกษตรก็ต้องเสียหายตามกันไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผลกระทบเกิดขึ้นกับเงินส่วนตัว เงินกู้ เงินยืมต่าง ๆ เป็นลูกโซ่ เป็นวิถีชีวิตของเกษตรกรโดยแท้จริง นั่งตรวจเอกสารไปของรู้สึกหดหู่ครับ
เมื่อวันที่ ๑๙ ต.ค.๔๙ จัดเวที KM หาโจทย์เพื่อจัดการความรู้เกี่ยวกับการปลูกมันเทศ ทำให้รู้เรื่องราวเพิ่มมากขึ้น ผมถามชุมชนว่า ทำไมเมื่อถึงฤดูกาลปลูกมันเทศเราต้องวิ่งเต้นหายอดพันธุ์มาปลูก ผลิตเองขายเองไม่ได้หรือ (ที่ผมคิดก็คือเอาเงินไปให้คนอื่นทำไม) แต่เมื่อเกษตรกรเจ้าของพื้นที่ตอบมา ก็เป็นเหตุผลที่ชัดเจนว่าทำไม่ได้ โดยบอกว่า"พื้นที่บ้านเราเป็นที่ลุ่มน้ำขังตลอด หรือพื้นที่ที่น้ำไม่ขังก็ทำไม่ได้ เพราะฝนตกมาห่าใหญ่ครั้งเดียวแช่ขังนานยอดพันธุ์มันเสียหมดเคยขาดทุนไปหลายรายแล้ว" หรือถ้าใครคิดที่จะปรับพื้นที่เพื่อการนี้จริง ๆ มีปัญหาด้านการตลาด คือ หากรายใดผลิตยอดพันธุ์ไว้เพื่อขายให้เพื่อน แต่พื้นที่ของเพื่อนน้ำยังขัง(คือฝนตกไม่ทิ้งช่วง) เขาเตรียมพื้นที่ไม่ได้แปลงยอดมันก็มีปัญหาหาลูกค้าชื้อไม่ได้และต้องขาดทุนในที่สุด นี่คือปัญหาอาชีพการเกษตรที่ผมได้กล่าวไว้ว่ามันพันเกลียวเชื่อมโยงกันหลายปัจจัย กระบวนการการจัดการความรู้ เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการให้เกษตรกรได้เรียนรู้ในการประกอบอาชีพ
ที่สำคัญคือเราเองที่มีหน้าที่เป็นคุณอำนวยต้องเรียนรู้เพิ่มประสบการณ์ขึ้นอีกให้มาก จริงตามที่หลายท่านบอกว่าหรือบันทึกไว้ว่า KM นั้นต้องลงมือทำ ไม่ทำไม่รู้ และยิ่งทำยิ่งรู้ ผมว่าเหมือนกับคนโบราณ หรือผู้เฒ่าผู้แก่เคยสอนว่า "ทำไปเถอะลูกเอ๊ยงานจะสอนให้เองแหละ" ทำให้เราทราบว่าความรู้นั้นมีความกว้างไกลล้ำลึกแบบไม่มีขอบเขต เส้นทางนั้นยาวไกลจริง ๆ ครับ
คนทุกคนมีความรู้อยู่ในตัวบางครั้งนำออกมาใช้โดยไม่รู้สึกตัว และได้ผลดีจนคนอื่นเห็นแล้วอึ้งไปเลย คงต้องใช้ KM ในการจัดการให้เกษตรกรรู้จักวางแผนโดยเรียนรู้ธรรมชาติในท้องถิ่นเข้าใจธรรมชาติให้มากต้องลึกซึ้งขึ้น และไม่ควรเสี่ยงหรือเผชิญหน้ากับธรรมชาติเพราะไม่มีโอกาสที่ใครจะเอาชนะธรรมชาติได้
เข้าใจและเรียนรู้ธรรมชาติครับ
............
ผมรู้สึกชื่มชมพี่ชาญวิทย์มากครับ ...ผมคิดว่า ทุกเวลาของพี่ชาญวิทย์ คิดเรื่อง การทำงาน การช่วยเหลือสังคมตลอดเวลา
งานและชีวิตเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน
.............
เหนื่อยมั้ยครับพี่...ผมให้กำลังใจครับ
เรียน อาจารย์จตุพร ครับ
ขอบคุณที่มาเยี่ยมให้กำลังใจ บางครั้งก็เหนื่อยนะครับ แต่จะหายเหนื่อยเมื่อสิ่งที่ทำได้รับการตอบสนองจากชุมชนครับ กระบวนการที่มีส่วนร่วมแบบ KM นี่ช่วยได้เยอะครับ ผมจึงพยายามหาเพื่อนร่วมทางครับ
มาชื่นชม ซึมซับเอาเป็นกำลังใจในการทำงานของตนอีกคน ...ขอบคุณค่ะ