ประมาณปี 2526 ผมเป็นหัวหน้าเด็กอยู่ในบริษัทดาวรุ่งแห่งหนึ่ง เป็นกิจการที่ทำเรื่องที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แต่ทัศนคติของสังคมในขณะนั้น ไม่เชื่อถือฝีมือคนไทย งานที่ทำจึงมีแต่บริษัทฝรั่งบางแห่งที่ให้โอกาส ต่อมาเมื่อบริษัทไม่ประสบความสำเร็จในทางธุรกิจ ก็ถูกซื้อไปโดยกลุ่มการค้า ในวิสาหกิจขนาดยักษ์ของไทย (ปัจจุบันไม่มีกลุ่มนี้ีแล้ว)
เมื่อถูก take over บริษัทยักษ์ก็ส่งคนเข้ามาจัดการ โดยส่งคนเก่งๆเข้ามาดูหลายคน รวมทั้งเด็กปั้นผู้หนึ่ง ซึ่งจบเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทองด้วย -- เผอิญเรียนรุ่นเดียวกันแต่คนละมหาวิทยาลัย จึงเป็นคนร่วมสมัย อายุเท่ากัน เรียนเร็วเหมือนกัน เลยคุยกันได้ถูกคอ และเป็นโอกาสดีอันหนึ่งในชีวิตของผม
เป็นที่น่าสังเกตว่าบริษัทที่ยิ่งใหญ่อย่างบริษัทยักษ์รายนี้ มีการ identify คนที่มีศักยภาพไว้เป็นรุ่นๆ ให้โอกาส ให้ประสบการณ์ อบรม-สั่งสอน-ถ่ายทอดกันมาอย่างเป็นระบบ และทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง
เพื่อนได้รับคำชี้แนะจากผู้ใหญ่ระดับสูงให้พิจารณาดูกระบวนการเรียนรู้ตามระบบ เช่นเรียนวิศวะ อ่านหนังสือวิชาพื้นฐานประมาณ 50 เล่ม(ในสี่ปี) เรียนโทอาจจะประมาณ 20-30 เล่มในวงที่แคบลง พอปริญญาเอกอาจจะเป็น 20-30 เล่มในเรื่องเฉพาะที่สนใจ -- ถึงตัวเลขคลาดเคลื่อนไปก็ไม่แปลก แนวคิดยังเป็นเช่นเดิม
เมื่อเริ่มทำงาน หากอ่านหนังสือ-ด้วยอัตราที่ช้ามาก-เดือนละ 1 เล่ม แต่อ่านจนเข้าใจ ไม่ฉาบฉวย-ไม่อ่านผ่านๆไป รู้จักเลือกหนังสือ เพิ่มพูนความรู้ให้กว้างขวางในหลายๆด้าน หัดคุยกับคนที่มีความเชี่ยวชาญในหลายๆแขนงจนแตกฉาน กว่าจะเกษียณอายุ ก็อาจจะอ่านไปแล้วพอๆกับจำนวนหนังสือสำหรับการเรียน ตรี-โท-เอก กว่าห้ารอบ; จริงอยู่ที่ว่าคงไม่เหมือนกับการเรียนจริงๆห้ารอบ แต่ท่านผู้อ่านคงได้ไอเดียว่าผมพยายามจะชี้ประเด็นอะไร
เรื่องนี้ เพื่อนเล่า่ให้ฟังครั้งเดียว แต่ผมยังจำได้แม้ผ่านมานานแล้ว ต้องถือว่าเป็นคำแนะนำที่มีค่ามาก เป็นจุดเปลี่ยนทัศนคติต่อการเรียนรู้เลยทีเดียว เรื่องที่เป็นสัมมาทิฐิ แม้คุยกันนาทีเดียว หากเข้าใจและนำไปปฏิบัติก็มีผลยาวนาน
กัลยาณมิตรเด็กปั้นผู้นั้่นคือคุณ ส.ม. ส่วนผู้ใหญ่ที่แนะนำมาคือท่าน ท.บ. ปัจจุบันเกษียณอายุไปนานแล้วแต่ยังเห็นงานของท่านอยู่
จำท่านทั้งสองได้ทั้งชื่อและนามสกุล แต่ที่ใช้ชื่อย่อ เนื่องจากไม่ทราบว่าแต่ท่านจะคิดอย่างไรที่นำชื่อมาเขียนโดยไม่ได้ขออนุญาตก่อน เพื่อนหายไปจากวงการ เจอกันครั้งสุดท้ายในงานศพคุณแม่เขา ส่วนท่านผู้ใหญ่ได้รับทราบนามของท่านผ่านมาทางเพื่อน-เป็นข้อมูลทุติยภูมิไม่สามารถตรวจสอบได้
ปัจจุบัน หนังสือส่วนตัวของผมซึ่งมีหลากหลายเรียงกันประมาณ 15 เมตร ได้นำมาจัดเป็นห้องสมุดให้พนักงานได้หยิบยืมไปอ่านได้ และมีการจัดตั้งห้องสมุดเฉพาะทางขึ้นตามฝ่ายต่างๆในบริษัท