การศึกษาจะเกี่ยวข้องกับปัจจัยที่เชื่อมโยงเป็นความสัมพันธ์ในกลุ่มใดบ้างผมมีความเห็นดังนี้
ระบบพื้นฐานคือ
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทั้งทางกายภาพและชีวภาพเป็นตัวกำหนดวิถีชีวิตของมนุษย์
ในช่วงเริ่มแรก ตอนที่มนุษย์ยังต้องเดินท่องหาอาหารเป็นสังคมเร่ร่อน
มนุษย์จะย้ายที่ไปเรื่อยๆตามแหล่งอาหาร ในลำน้ำ ป่า ทะเล
หาที่หลบภัยคือถ้ำ
เมื่อมนุษย์ตั้งหลักแหล่งและเริ่มรู้จักการเพาะปลูก ฐานทรัพยากรตามภูมินิเวศจะกำหนดวิถีชีวิตของมนุษย์
การเรียนรู้คือปัญญาทั้งทักษะการผลิตและความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติกำหนดวัฒนธรรมที่ผูกโยงเข้ากับการผลิต
และการละเล่นเพราะชีวิตคือการผลิตอาหาร การต่อสู้กับภัยธรรมชาติ
โรคภัยไข้เจ็บ
สัตว์และผู้รุกรานซึ่งเชื่อมโยงวัฒนธรรมที่รังสรรค์เป็นการละเล่น/บวงสรวงเทพเหนือ
ธรรมชาติอยู่ในนั้นด้วย
ทักษะการผลิต(ภูมิปัญญา)ที่เชื่อมโยงการผลิต การละเล่นของคนภายใต้ทวยเทพ และผีต่างๆ คือระบบสังคมวัฒนธรรมจึงเป็นปัจจัยชุดที่3และ4
ที่จริงสังคมมนุษย์ตั้งแต่ยุคเร่ร่อนจนถึงปัจจุบันย่อมมีผู้นำและผู้ตามรวมทั้งความสัมพันธ์ที่จัดตัวอย่างเหมาะสมเพื่อการอยู่ร่วมกันคือสิ่งที่เรียกว่าระบบการเมืองการปกครองในปัจจุบันซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญเพื่อทำความเข้าใจระบบโดยรวมของวิถีการดำเนินชีวิตของมนุษย์
แว่นที่ใช้มองพลวัตของระบบสวัสดิการชุมชนในปฏิสัมพันธ์กับระบบอื่นๆตามเงื่อนไขเพราะสิ่งนี้43 ปัจจัยคือ 1)ระบบการเมืองการปกครอง 2)ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทางกายภาพและชีวภาพ 3และ4)ระบบเศรษฐกิจสังคมวัฒนธรรมและภูมิปัญญา
คำอธิบายว่าทำไมลุ่มเจ้าพระยาซึ่งดินดีเหมาะแก่การปลูกข้าวจึงกลายเป็นเมือง อุตสาหกรรมและพานิชกรรม ถมที่นาสร้างตึกระฟ้าไปทั่ว คำอธิบายของผมคือ
เริ่มแรกมาจากปัจจัยด้านการเมืองและทรัพยากรธรรมชาติ ภายหลังมาจากปัจจัยด้านการเมือง เศรษฐกิจสังคมวัฒนธรรมและภูมิปัญญาเป็นสำคัญโดยเฉพาะศก.เสรีนิยมภายใต้ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ด้วยระบบสังคมวัฒนธรรมและภูมิปัญญาที่เป็นเมืองหลวงเชื่อมต่อกับโลกภายนอก
ปัจจัยทั้ง4 เป็นกรอบเรื่องราวที่ครอบคลุมปัจจัยภายในทั้งหมด ซึ่งระบบการจัดการที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนเพื่อสร้างสวัสดิการตามเป้าหมายข้างต้นคือแก่นแกนของเรื่อง
งานสังเคราะห์ความรู้ในเรื่องนี้(พลวัตระบบสวัสดิการชุมชนในประเทศไทย)ก็เพื่อตรวจสอบงานศึกษาที่มีมาทั้งจากเอกสาร ผู้รู้ และการสังเกตเท่าที่เวลาอันจำกัดจะทำได้ เพื่อสร้างความเข้าใจในภาพรวม เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น และประมวลรวมทั้งประเมินขบวนสวัสดิการชุมชนที่น่าสนใจซึ่งกำลังขับเคลื่อนอยู่ในปัจจุบันจะเอางานอาจารย์ภีมทั้ง 4 เรื่องมาเรียงต่อกันแล้ว comment รอบเดียวในบล็อก econ4life นะคะ
แต่ว่า ... ท่านจะมีตอนที่ 5 รึเปล่า ...จะได้รอ
พอดีอ่าน 4 ตอนจบได้เร็วกว่าที่คิด และเห็นว่าแสดงความเห็นทีละประเด็นไว้ที่บล็อกนี้จะง่ายกว่า
ประเด็นนิยาม
การกำหนดว่า ระบบสวัสดิการชุมชน เป็นสิ่งที่คนในชุมชนร่วมกันทำ หรือ ระบบการจัดการที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน ช่วยให้ตีกรอบการวิเคราะห์ได้มาก แต่ฝากอาจารย์ภีมช่วยพิจารณาว่า การวางกรอบดังกล่าวจะมีนัยยะต่อไปนี้ใช่หรือไม่ เช่น
• กิจกรรมระดับปัจเจกไม่ใช่สวัสดิการชุมชน เช่น ชาวนาแต่ละครัวเรือนปลูกข้าวไว้กินไว้ขาย แม้จะเป็นการสร้างปัจจัยสี่ ก็ไม่ใช่สวัสดิการชุมชน แต่ถ้ามีกลุ่มสหกรณ์ชาวนามาวางแผนการผลิตร่วมกันจึงจะเป็นหนึ่งใน “ระบบสวัสดิการชุมชน”
• กิจกรรมที่อยู่บนความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลแบบหนึ่งต่อหนึ่งหรือหนึ่งต่อสอง หรือ หนึ่งต่อสิบไม่ใช่สวัสดิการชุมชน เช่น ลูกบ้านพึ่งพาผู้ใหญ่บ้านเพื่อให้ตัวเองมีความปลอดภัย การช่วยเหลือเอื้อเฟื้อกันระหว่างเพื่อนบ้านข้างเคียง ไม่ใช่ระบบสวัสดิการชุมชน
• สวัสดิการที่จัดการโดยครอบครัวไม่ใช่ระบบสวัสดิการชุมชน ทั้งที่สวัสดิการในระดับครอบครัวเป็นฐานสำคัญของระบบสวัสดิการในเมืองไทยมาแต่อดีต เช่น คนแก่มีลูกหลานดูแล
แต่ด้วยนิยามของอาจารย์ภีมข้างต้น ก็อาจทำงานง่ายขึ้น คือ ไปดูว่า ในยุคสมัยต่างๆ ชุมชนมีการรวมตัวกันทำอะไรบ้าง เพื่ออะไร พัฒนาไปอย่างไร เป็นต้น
ขอบคุณอาจารย์มากครับ
การสร้างสวัสดิการเพื่อตนเอง
การสร้างสวัสดิการเพื่อคนในครอบครัว และ
เพื่อนละแวกบ้าน รวมทั้ง
การรวมกลุ่มกันเพื่อจัดสวัสดิการร่วมกัน
มีเส้นตัดตามนิยาม "ระบบสวัสดิการชุมชน"ตรงไหน?
ผมคิดว่า เส้นตัดอยู่ตรงที่
การสร้างสวัสดิการเพื่อตนเอง และ
การสร้างสวัสดิการเพื่อคนในครอบครัว ถือว่า เป็นการจัดสวัสดิการเพื่อตนเองและครอบครัว
แยกออกได้เลย
สำหรับ การสร้างสวัสดิการของเพื่อนละแวกบ้านหากเป็นเฉพาะกลุ่มเล็กๆของคนรู้จักกันภายใน"ชุมชน" เช่น บ้านจัดสรร ไม่ถือว่าเป็นระบบสวัสดิการชุมชน
จะนับว่าเป็นก็ต่อเมื่อในชุมชนนั้นมีกลุ่มดังกล่าวอยู่ทั่วไปหมดจนสามารถแกะหาโครงสร้างที่มาของระบบความสัมพันธ์นั้นได้ เช่นในหมู่บ้านที่มีการแลกเปลี่ยนช่วยเหลือกันเป็นกลุ่มๆตามฐานเครือญาติกระจายไปทั่ว ถือว่า
เป็นระบบสวัสดิการชุมชนบนฐานเครือญาติ
สำหรับการรวมกลุ่มร่วมกันจัดสวัสดิการที่มีโครงสร้างระบบการจัดการชัดเจน เช่น กลุ่มออมทรัพย์ในหมู่บ้าน จัดเป็นระบบสวัสดิการชุมชนที่ใช้ฐานเครือญาติ/คนรู้จักกันเป็นเครื่องมือที่สามารถหลอมรวมการจัดสวัสดิการเฉพาะกลุ่มเครือญาติให้กว้างขวางขึ้น
ในกรณีการรวมกลุ่ม หากเป็นกลุ่มในที่ทำงาน
หากรวมกันเฉพาะจุดเล็กๆก็อาจเปรียบได้กับคนละแวกบ้าน ความหมายอยู่ที่คำว่า"ชุมชน" ซึ่งควรจะครอบคลุมโครงข่ายความสัมพันธ์ร่วมในเชิงพื้นที่หรือกลุ่มเป้าหมาย/กิจกรรมใดๆในระดับหนึ่ง เช่น คุณส้มจากสกว.ปรึกษาผมว่าจะทำกองทุนสวัสดิการในสกว. ถ้าทำกันในกลุ่มไม่กี่คนโดยที่คนทั่วไปในองค์กรไม่รับรู้หรือไม่อาจเข้าร่วมได้ ถือว่าไม่ใช่สวัสดิการชุมชน แต่ถ้าคนรับรู้แต่ไม่เข้าร่วมก็ไม่เป็นไร ประเด็นสำคัญอยู่ที่การรับรู้และโอกาสที่เปิดให้สามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้
อย่างไรก็ตาม ก็คงมีภาพเหลื่อมซ้อนที่ไม่รู้ว่าจะตัดตรงไหนได้เหมือนกัน เพราะเป็นความคิดนามธรรม ไม่เหมือนตัวเลขที่บอกว่าต่ำกว่า50ก็ตัดได้เลย นอกจากนี้ รูปธรรมของนิยามนี้ก็เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง เช่น ระบบสวัสดิการชุมชนบนฐานเครือญาติในสังคมไทยลดน้อยถอยลงตามกาลเวลา ในขณะที่มีรูปแบบใหม่ๆที่ก่อรูปขึ้นเป็นระบบสวัสดิการชุมชน ทั้งนี้เพราะ "ชุมชน"มีการปรับตัวเปลี่ยนรูปอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
ขอบคุณอาจารย์อีกครั้งครับ
ถ้าไม่มีสมมติฐานข้อที่ 8 โจทย์เรื่องดุลยภาพก็ไม่จำเป็น เพราะให้ชุมชนจัดการเองทั้งหมดทุกเรื่องได้
เป็นปัญหาการจัด format ค่ะ
ขอเพิ่มเติมอีกนิดว่า... จากบทสังเคราะห์ตามวัตถุประสงค์ที่สอง คงจะบอกได้ว่า อะไรที่รัฐควรทำ อะไรที่ไม่ควรทำ ...เพราะเหตุใด
แสดงความเห็นมาเพื่อแลกเปลี่ยนค่ะ