จากนิทานบูรณาการสู่ชีวิตจริง...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีนกแสนสวยตัวหนึ่ง มีขนสวยงามมาก มีคนอยากได้ไว้ครอบครองเป็นจำนวนมาก แต่ไม่เคยมีชาวบ้านคนไหนจับนกตัวนั้นได้เลย มีอยู่มาวันหนึ่งมี อาบัง ขายถั่ว มานั่งใต้ต้นไม้ที่มีนกแสนสวยอยู่ พอนกแสนสวยเห็นถั่วของอาบังก็เกิดอยากกินขึ้นมา จึงร้องบอกอาบังว่า
นก : “อาบัง อาบัง ขอถั่วให้ชั้นกินหน่อยสิ ..
อาบังได้ยินดังนั้น ก็ตอบกลับไปว่า...
อาบัง : “ได้เลย ได้เลย แต่ขอขนให้ชั้นเส้นนึงนะ”..
พอนกได้ยินดังนั้น ก็ก้มลงมองที่ขนขงตนเอง แล้วคิดว่า ขนของตนเองนี่มีเยอะมาก เสียไปสักเส้นคงไม่เป็นไรหรอก นกแสนสวยก็เลยให้ขนอาบังไปหนึ่งเส้น แล้วก็ลงไปกินถั่วของอาบัง..
..วันต่อมา.. นกแสนสวยก็บอกกับอาบังอีกว่า..
นกแสนสวย : ”ขอถั่วให้ชั้นกินหน่อยสิ”
อาบังก็ตอบเหมือนเดิมว่า...
อาบัง : “ ขอขนให้ชั้นเส้นหนึ่งก่อน”
..นกแสนสวยก็คิดเหมือนเดิมว่าขนมันยังมีอยู่เยอะก็เลยให้ขนอาบังไปอีก
เป็นอย่างนี้ต่อไปอีกหลายวัน จนวันหนึ่ง...
นกแสนสวยก็ขอถั่วอาบังกินอีก อาบังก็ตอบเหมือนเดิมว่า ขอขนให้ชั้นเส้นหนึ่งก่อน นกก็ไม่รีรอ รีบให้ขนอาบังไปทันที แล้วลงมากินถั่วของอาบัง อาบังก็เลยจับนกตัวนั้นไว้ได้ เพราะว่าขนของมันเหลือน้อยแล้วไม่สามารถที่จะบินหนีอาบังได้..”
ข้อคิด เรื่องนี้ถ้าอ่านผ่านไปอาจจะไม่ได้อะไรเลยนะครับ แต่ถ้าเราลองคิดให้ดี เปลี่ยนจากนกแสนสวยเป็นตัวเรา... “ ขนของนกแต่ละเส้น ก็คือเวลาของเราที่ต้องเสียไป แล้วอาบัง ก็เป็นนายจ้างของเราไง ส่วนถั่วที่อาบังให้ ก็เหมือนกับเงินเดือนที่นายจ้างให้เรา น่ะครับ..
แล้ว ณ ขณะนี้คุณเหลือขนอีกกี่เส้น..???
นายจ้างหรือผู้บริหารคณะแพทยศาสตร์ จะไม่คิดดึงขนนกออกเพื่อให้ทุกคนศักยภาพลดลง มีแต่อยากให้เวลาที่ทุกคนใช้ไปมีความสามารถในการทำงานมากขึ้น (รวมทั้งทำงานอย่างมีความสุขขึ้น) ครับ
นี่ไงครับ..นายจ้างที่เป็นผู้ให้โดยแท้จริง