ผมมีหมวกอีกใบหนึ่ง ช่วงนี้จะมีโอกาสใส่ก็เฉพาะวันหยุดเท่านั้น หมวกใบนี้เป็นใบที่ผมชอบมากอีกใบหนึ่ง พอใส่แล้วก็ต้องเล่นบท "เกษตรกร" หรือ "ชาวนา" ครับ แต่ก่อนผมเคยคิดเพียงว่าคงมีแค่หมวกเกษตรกร เอาไว้ทำต้นไม้สวยงาม ไม้ประดับที่ผมชอบ แต่ก็ได้มาอีกใบโดยของแถมจากการ "มีภรรยา" นั่นก็คือ ต้องเล่นบทชาวนาบ้าง บางครั้ง เพราะว่ามีพ่อตาเป็นชาวนา เลยต้องเป็นแบบกึ่งอัตโนมัติ
ช่วงวันหยุด 3 วัน (10-12 ธันวาคม 48) ผมกลับไปบ้านภรรยา อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ ตอนนั้นตรงกับช่วง "นวดข้าว" เลยมีโอกาสได้เข้าลิ้มชิมรสชาติชีวิตชาวนา (เพียงเสี้ยวเล็กๆ) อืมห์............เหนื่อยไม่เบาเลยทีเดียว ได้เหงื่อท่วมตัว ช่วงปลายๆแผ่วไปบ้างนิดหน่อย ออกอาการแบบมวยยก 5 เลยหละครับ เขาบอกว่า น้ำเหงื่อ นั่นแหละ คือ น้ำมนต์ซึ่งวิเศษที่สุดของมนุษย์เลยเชียวหละ นี่ขนาดว่าใช้รถนวดนะครับ คนทำหน้าที่เพียงช่วยกันขนมัดข้าวมาใส่รางนวด เราเริ่มกันประมาณ 10 โมงสายๆ ไปเสร็จเอาประมาณบ่าย 2 โมง งานนี้มีคนช่วยหลายคนครับ มี เจ้าของรถ + ลูกน้อง 1 คน + พ่อตา + พี่เขย 2 คน+ เพื่อนบ้านอาวุโสที่พ่อตาไปออกปากขอแรง 2 คน + เพื่อนน้องชายของภรรยา 3 คน + หลานพี่เขย 1 คน + หลาน ป.3 อีก 1 คน + หลานวัยรุ่น 1 คน และ + ผม ทั้งหมดมีเจ้าของรถนวดเท่านั้นที่ได้ค่าตอบแทนเป็นข้าวเปลือก (เขาคิดอัตรา 100 กระสอบ เก็บ 3 กระสอบ) ส่วนคนอื่นๆ เลี้ยงข้าวกลางวัน + เครื่องดื่มหลังจากนวดข้าวเสร็จ 1 มื้อเป็นการตอบแทน แต่เป็น 1 มื้อที่ยาวนานอยู่เหมือนกัน
เสร็จงานก็นั่งพูดคุยใต้ร่มไม้ไม่ไกลจากกองฟางนัก พอปะติดปะต่อเรื่องราวคร่าวๆว่า ข้าวเปลือกที่นวดได้ทั้งหมดนั้น เป็นข้าวหอมมะลิเบา (ได้ 94-95 กระสอบป่าน) ได้จากการทำนาประมาณ 11-12 ไร่ (โดยประมาณจากที่ทั้งหมด 14-15 ไร่ หักพื้นที่เป็นบ้านอาศัยและสระน้ำรวมประมาณ 3 ไร่ เห็นจะได้) แต่ปีนี้ฝนฟ้าไม่ค่อยอำนวย ช่วงเริ่มต้นหลังจากผ่านการไถเตรียมดิน ฝนแล้งมากไม่มีน้ำในแปลงนาที่เตรียมไว้ พ่อตา & พี่เขย ใช้วิธีหว่าน ทิ้งไว้ให้ต้นข้าวโตไปกับหญ้าตามธรรมชาติ และบางครั้งก็ปล่อยวัว (ประมาณ 10 ตัว) ลงไปแทะเล็มทั้งต้นหญ้าและต้นข้าว และพอช่วงข้าวออกรวงประมาณเดือนตุลาคม ฝนมาเยอะน้ำท่วมนา ช่วงเก็บข้าวก็ยังมีน้ำขังอยู่เยอะ เลยต้องเกี่ยวต้นข้าวมัดเป็นฟ่อน แล้วเอามาวางเรียงกันเป็นกองรวมกันที่ลานหน้าบ้าน โดยใช้ตาข่ายไนล่อนสีฟ้าตาถี่รองพื้น เพราะว่าข้าวมันโดนน้ำท่วม ชื้นมาก นี่คือขั้นตอนก่อนที่จะมาสู่การนวด ลองหลับตาจินตนาการดูนะครับ รายละเอียดแต่ละขั้นตอนของการทำนามันเหนื่อยขนาดไหน แต่พอเอาไปแลกเป็นเงิน มันได้มาแค่ กระสอบหนึ่งประมาณ 500-700 บาท แบ็งค์ 500 ของชาวนานี่มันหนักจริงๆ! เป็น 100 กิโล ผมคนเดียวยกไม่ไหวแน่ เลยคุยกันเล่นๆ หลังหายเหนื่อยกันว่า ถ้าเกิดชาวนาทำนาเฉพาะบริโภคในครอบครัวตัวเอง ให้พอ 1 - 2 ปี โดยไม่ต้องขายก็ไม่ต้องทำงานเยอะ และตอนนั้นข้าวคงจะได้ราคาดีมากเลยครับ
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการนวดข้าว
-
"การออกปากขอแรง" ยังเป็นวัฒนธรรมคู่ไปกับวิถีชีวิตชาวนา ซึ่งถือว่าเป็นทุนอย่างหนึ่งที่ชาวนาแต่เดิมเขามีทุนพวกนี้เยอะมาก (หากอยากคิดเป็นตัวเงิน ลองเอาจำนวนคนมาคิดค่าแรงเล่นๆดูนะครับ แต่จริงๆมันมีคุณค่ามากกว่านั้น เช่น ความสัมพันธ์แบบดีๆอย่างนี้ มีเงินเยอะก็ยังซื้อหาได้ยาก)
-
การเปลี่ยนหมวกบ้างบางครั้ง มันช่วยให้เรามีโลกมากกว่า 1 ใบ การมีโลกมากกว่า 1 ใบ ช่วยทำให้ชีวิตเรามีสีสรรค์ ได้อย่างดีทีเดียว
-
ความเหน็ดเหนื่อยทางกาย แลกมาซึ่ง มิตรภาพ ได้สังคม ได้กัลยาณมิตร แถมได้ข้าวอีกกว่า 90 กระสอบ (ของพ่อตาเขาครับ) ได้ฟางกองใหญ่ เป็นอาหารชั้นดีของวัวทั้ง 10 ตัว ลูกหลานได้ร่วมทำงานเรียนรู้ขั้นตอนการทำงาน
-
มีการพูดคุยถึงเรื่องการใช้ปุ๋ยชีวภาพ สาเหตุหนึ่งที่สำคัญ ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ผมตีความว่ามาจาก "กระแสเศรษฐกิจพอเพียง + ข่าวสารเกี่ยวกับการใช้ปุ๋ยชีวภาพที่พบเห็นได้ง่าย" ชาวนาค่อนข้างเชื่อมั่นว่าลดต้นทุนได้จริง แต่อาการ "เป็นชาวนาที่อยากรู้อยากเห็น อยากทดลอง" ยังมีน้อย ละแวกนี้มการใช้ปุ๋ยเคมีเยอะมาก ดูจากยอดขายปุ๋ยเคมีของสหกรณ์การเกษตรประโคนชัย ยอดขายยังพุ่งปรี๊ดอยู่เลยครับ คงต้องค่อยๆแทรกซึม และที่สำคัญคือ ต้องร่วมทำกับเขาไประยะหนึ่ง แล้วเชื่อว่าน่าจะแทรกวิธีคิดลงในช่องทางนี้ได้ อยู่ๆลุกขึ้นมาพูดว่า "ทำไมไม่ทำอย่างนั้น ไม่ทำอย่างนี้หล่ะ" คงจะไม่เป็นการดีแน่