เวที KM Research ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนารวัตกรรมการจัดการความรู้ คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ จัดร่วมกับ สคส. เมื่อวันที่ 21 พ.ค.50 มีการจัดเป็นพิเศษกว่าคราวก่อน ๆ คือคราวนี้เราเชิญผู้แทนหน่วยงานที่มีประสบการณ์ใช้ KM ในการพัฒนางาน พัฒนาคน และพัฒนาองค์กร มาเล่าประสบการณ์ของตน เพื่อให้ผู้เข้าร่วมประชุมซึ่งส่วนใหญ่เป็น นศ.ปริญญาเอก - โท และอาจารย์ที่ปรึกษาได้รับฟัง และร่วมกันคิดโจทย์วิจัยจากเรื่องราวเหล่านั้น
เวทีนี้ออกแบบขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการค้นหาโจทย์วิจัยจากการปฏิบัติ KM
และเพื่อเป็นกลไกจับคู่ (match - making) ระหว่างนักปฏิบัติ KM กับนักวิจัย KM เพื่อให้เกิดโครงการวิจัย KM ที่เข้าไปศึกษาสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในการใช้ KM เพื่อบรรลุเป้าหมายของหน่วยงาน
ย้ำ ว่าเวทีนี้เป็นเวทีตั้งโจทย์วิจัย KM และเป็นเวทีจับคู่นักปฏิบัติและนักวิจัย KM
สคส. ได้ลงแรงและลงทุนกับเวทีนี้ไม่น้อย เพราะเราเชื่อว่าในการขับเคลื่อน KM ประเทศไทย เราจะต้องดำเนินการแบบ "เดิน 2 ขา"
ขาหนึ่งเรียกว่า "ขาปฏิบัติ" หมายถึงการปฏิบัติ นำ KM ไปใช้งาน อีกขาหนึ่งคือ "ขาวิชาการ" หมายถึงการวิจัย เพื่ออธิบายปรากฎการณ์แปลก ๆ ที่เกิดขึ้นในกระบวนการนำ KM ไปใช้งาน
ผมบอกที่ประชุมว่า องค์กร กลุ่มคน หรือบุคคล ที่นำ KM ไปใช้งานเกิดผลอย่างดีมักจะรู้สึกงง ๆ ว่าผลดีมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ว่าปรากฎการณ์หลายอย่างที่ประสบมีเหตุผลที่มาที่ไปอย่างไร นักปฏิบัติสัมผัสกับความรู้สึก บรรยากาศ และผลเหล่านั้น และพยายามอธิบายทำความเข้าใจด้วยตนเอง เล่าออกมาในบล็อก ในจดหมายข่าว ในมหกรรมการจัดการความรู้ รวมทั้งในตลาดนัดความรู้และเวทีอื่น ๆ อีกหลายเวที
แต่ผมคิดว่าความเข้าใจหรือคำอธิบายต่อปรากฎการณ์นั้นมันยังตื้น ยังไม่ลึกพอ
ผมมีความเชื่อและศรัทธา ว่าหน้าที่อธิบายปรากฎการณ์ทางสังคมให้ลุ่มลึกและเชื่อมโยงเป็นหน้าที่ของนักวิชาการหรือนักวิจัย
แต่แปลกมากนะครับที่ในสังคมไทย ขา 2 ขานี้มักจะแยกทางกันเดิน ไม่ค่อยเดินด้วยกัน ไม่มี synergy กัน สคส. และภาคีจัดเวที KM Research เราจึงทดลองจัดให้ 2 ขานี้มาพบกันที่คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ เมื่อวันที่ 21 พ.ค.50
เราเห็นได้ชัดเจน ว่าวงการ KM ของเรา "ขาปฏิบัติ" มีความแข็งแรง เล่าเรื่องราวการปฏิบัติของตนได้ฮือฮาน่าตื่นใจ ได้ข่าวว่าฮือฮาทั้ง 3 ห้องย่อย ดร. ประพนธ์ได้เขียนเล่าไว้ที่นี่ (click) และคุณน้ำก็ได้เล่าไว้ที่นี่ (click)
แต่ "ขาวิชาการ" ของเรายังไม่แข็งแรงครับ ยังตั้งโจทย์วิจัยกันไม่ค่อยเป็น
ทำให้ผมเกิดข้อสงสัยว่าวงการบัณฑิตศึกษาไทยของเรากำลังหลงทางกันหรือเปล่า
- หลงเรียนตอบโจทย์ มากกว่าเรียนตั้งโจทย์
- หลงเรียนเอากระดาษ มากกว่าเอาปัญญาหรือกระบวนการแห่งปัญญา
- หลงเรียนให้จบง่าย ๆ มากกว่าให้ได้คุณภาพ
โจทย์วิจัยที่มีการตั้งกันในวันนี้ ในสายตาของผมยังไม่ถึงขั้น คือ ยังติดอยู่แค่ระดับ descripttive ไม่ไปถึงระดับ explanatory และคนในวงการศึกษามักติดตั้งโจทย์โดยขึ้นต้นด้วย "รูปแบบของ..." ซึ่งเป็นแนวทางที่ทำให้โจทย์ไม่ลึกและไม่คม
ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือ เราประชุมกันแบบ "ประชุมเพื่อตั้งโจทย์วิจัย" ไม่เป็นหรือไม่คุ้นเคย เราคุ้นเคยกันแต่ประชุมกันแบบ Knowledge Sharing ไม่คุ้นเคยกับการประชุมแบบ Knowledge Questioning
เราคุ้นเคยกับการประชุมเพื่อสรุปความรู้หรือความเชื่อ ไม่คุ้นกับการประชุมเพื่อสรุปความไม่รู้หรือความไม่เชื่อ ความสงสัย หรือช่องว่างของความรู้
เราคุ้นเคยกับการประชุมที่มีคนมาบอกว่า "ฉันรู้" อะไร แต่ไม่คุ้นกับการประชุมที่คนมาช่วยกันบอกว่า "พวกเราไม่รู้" อะไร
การประชุมแนวหลังนี่แหละครับที่เป็นเวทีตั้งโจทย์วิจัย
เราสรุปกันว่า การประชุมครั้งต่อไปจะจัดที่ มรภ.สวนดุสิต วันที่ 17 ก.ย.50 โดย มรภ.สวนดุสิตกับ สคส. ร่วมกันจัด จะเป็นเวที "2 ขา" ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยที่ "ขาวิชาการ" จะเตรียมอ่านบทความวิจัยในวารสารวิชาการต่างประเทศที่คุณภาพสูงเอามาเสนอ เพื่อร่วมกันเรียนรู้ว่าเราจะผลิตผลงานวิจัย KM จากประเทศไทยแบบไหน จึงจะตีพิมพ์ในวารสารวิชาการต่างประเทศได้
คุณธวัชจะเล่าว่าเราจะเตรียมเวที KM Research วันที่ 17 ก.ย.50 อย่างไร
บรรยากาศในห้องประชุม
อีกมุมหนึ่ง
รศ. ดร. อรจรีย์ ณ ตะกั่วทุ่ง ผอ. ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมการจัดการความรู้ กำลังกล่าวต้อนรับ
วิจารณ์ พานิช
22 พ.ค.50
ตามมาอ่านค่ะ...ตรง click link ยังไม่ active ค่ะ อาจารย์ ขอบคุณค่ะ