อากาศเดือนเมย.ปีนี้รุนแรงเป็นที่สุด มันอบอุ่นอย่างรุนแรง
อากาศกลายเป็นเย็นสบายตอนเช้าตรู่ตั้งแต่ ตีห้าถึงแค่แปดโมงเช้า หรือถ้าวันไหนโชคดีหน่อยก็เย็นจนถึง สิบโมงเชช้า จากนั้นก็จะเริ่มสะสมความร้อนขึ้นไปเรื่อย ๆ (เหมือนดอกเบี้ยเงินกู้) จนถึงเวลาเกือบสองทุ่ม จากนั้นก็เป็นการคายความร้อนของอาคารบ้านเรือน ถนนหนทาง รถราที่วิ่งไปมา และบ้านดิฉันก็เป็นบ้านซีเมนต์ ก็อบอ้าวเป็นที่สุด การที่อาการข้างนอกก็อุ่น ๆ นิ่ง ๆ อากาศร้อนในบ้านก็ไม่รู้จะถ่ายเทไปไหน ก็ต้องอบอยู่อย่างนั้น
เข้าใจแล้วทีบอกว่า ร้อนเหมือนเข้าเตาอบมันเป็นอย่างไร ความร้อนจะกระทบหน้าผากและแก้มทั้งสองข้างของเราและแขนทั้งสองข้าง ส่วนอื่น ๆ พอมีเสื้อผ้าปิดบังไว้...ดิฉันต้องลงมานอนชั้นล่างของบ้าน เปิดประตูหลังบ้านไว้ให้ลมผ่าน...
ทำให้จินตนาการได้ชัดถึงภาวะเรือนกระจกที่มันอบความร้อนในโลก ให้อบอวลอยู่ภายในโลกใบนี้ แล้วย่อส่วนสภาวการณ์นั้นอยู่ในบ้านซีเมนต์ ( เวรกรรมของคนมีบ้านซีเมนต์ )
ขนาดบ้านของดิฉันนี้ผู้คนกลัวความรกชัฏของต้นไม้ที่มองเข้ามาหาคนไม่เจอเพราะซ่อนซอนอยู่ตามซอกมุมต่างๆ ท่ามกลางต้นไม้ใบหญ้า ระโยงรยางค์มองต้นนี้ไปปะทะต้นโน้น ซึ่งตามปกติจะเย็นกว่าที่อื่น ๆ เจอความร้อนที่เป็นมวลรวมของระบบใหญ่ ก็ไม่มีผลอะไร ทานไม่ไหวแม้แต่นิดเดียว เป็นภาวะที่น่าสะพรึงสะพรั่นยิ่งนัก.....
ดิฉันนั่งรถสกายแลบไปธนาคารเบิกเงินและไปรับรถที่นำไปเช็คสภาพ...ไอร้อนจากผะผ่าวของอากาศแสบอุ่นไปทั่วกาย แต่ผู้คนหาเช้ากินค่ำก็ต้องทน เขาก็ทนอยู่ได้ หรือว่าดิฉันรู้สึกมากเกินไปหน่อยหรือเปล่าหนอ
แต่พลันที่ย่างก้าวเข้าไปในธนาคาร เย็นฉ่ำแสนสบาย...ไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาว สบายอยู่ในอาณาจักร หอคอยของตนเอง
จากนั้นดิฉันก็เดินกางร่มเพลิดเพลินกลางแดด ไปยังอู่รถซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ ๕๐๐เมตร....อย่าบอกใคร... มีดิฉันเดินอยู่คนเดียวตอนบ่ายสองโมง ...เข้าไปยังห้องที่ผู้โดยสารติดต่อ เย็นฉ่ำแสนสบาย...พนักงานทำงานไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาว...แต่ดิฉันก็ทันได้ยินฝ่ายช่างซ่อมซึ่งอยู่ในโรงซ่อมขนาดใหญ่ แน่นอน ไม่มีแอร์....เอาเอกสารมาส่งที่ห้องเย็นแสนสบายนี้ เพียงยื่นแขนผ่านช่องที่เปิดไว้ เขาก็กระเซ้า เสียงซื่อตรงจากใจของเขาว่า ..ห้องนี้เย็นจริง ๆ... แล้วก็ปิดช่องแอร์นี้กลับไปทำงานของตนเอง!!!!
สบายจริง ๆ ดิฉันก็เพลินไปกับการรอ ทั้งที่ปกติดิฉันไม่ชอบอยู่ในห้องแอร์เลย มันเย็นจนแสบผิว แล้วแทบลวกเมื่อออกไปสู่โลกที่เป็นจริง
ระหว่างขับรถกลับบ้านก็เลยถือโอกาสแวะร้านซ่อมรถยนต์เพื่อล้างทำความสะอาดแอร์รถ
แต่เป็นร้านที่ไม่มีแอร์ เป็นร้านอุ่นร้อน มีพัดลมเป่ารอบร้าน ๕ ตัว ช่างในร้านเป็นชายหนุ่มผิดคล้ำ ที่ดิฉันเดินเข้าไปหา ก็ยิ้มรับยิงฟันขาว หน้าตาเป็นมันแต่สดใส แข็งแรง แต่งตัวใส่เสื้อกล้าม กางเกงขาสั้นตัวใหญ่เหมือนกางเกงชาวนา รองเท้าหุ้มข้อหนังสีดำ ใช้สายผ้ายืดรัดผมไว้แบบที่พวกจาไมก้าใช้แบบลวดลายแพรวพราว และนึกถึงเพลงฮิปฮอปและท่าเต้นแบบอาฟริกันอเมริกันที่สะท้อนอารมณ์และเปี่ยมล้นไปด้วยทักษะของพวกเขา....
แล้วเขาก็ถาม “ เฮ็ดหยัง”
ดิฉันก็เล่า จากนั้นเขาก็บอกเถ้าแก่....
เขาทำงานแสดงออกถึงฉันทะในวิชาชีพของเขาและอารมณ์ที่รื่นรมย์ ดูตั้งอกตั้งใจ มีความชำนาญ ทำทุกท่าที่จะแก้ไขปัญหาของรถแต่ละคัน ทำแบบเต็มไม้เต็มมือ ส่วนช่างคนที่ดูแลรถของดิฉัน เมื่อดิฉันถาม “คงชอบซ่อมรถใช่ไหมถึงมาทำ”
เขาตอบ อือม์ ได้ซ่อมแล้วก็คลุกกับมันไปเรื่อย ๆ เลยเพลินไปเลย (ลืมเวลา ลืมตัวไปเลย ...ดิฉันต่อให้ )
มันคงสนุกในการค้นหาต้นตอของปัญหาแล้วทำให้มันดีขึ้น แก้ไขได้สำเร็จก็เป็นความสุขของคนทำงาน......
ความสบายของชนชั้นกลาง ทำงานในห้องแอร์ เย็นฉ่ำ มันจึงกันผู้คนไม่ให้เห็นคนอื่น เห็นโลกอื่นและแถมยังทนไม่ได้ที่จะลดละความสบายของตนเองเพราะมันติดเสียแล้ว ติดทั้งความสบายทางกายและการได้เสพรสแห่งความรู้สึกที่หรูหราทันสมัยเหนือคนอื่น...
ดังนั้นการได้ฟังเรื่องโลกร้อน การละลายของหิมะ การทำลายต้นไม้ส่งผลให้เกิดโลกร้อน การขับรถตลอดเวลาทั้งที่ไม่จำเป็นหรือการเปิดแอร์โดยไม่คำนึงว่าผลโดยรวมจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง หรือว่า มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสละความสุขส่วนตัวอันนี้ แม้ว่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะเร่งทำให้ตัวเองพินาศย่อยยับก็ตามที....เรื่องนี้ก็คงเป็นเช่นเรื่องอื่น ๆ ที่ความสะดวกสบายมาบังไม่ให้เห็นความเชื่อมโยง เห็นผลกระทบที่สร้างขึ้นมาโดยตัวเองเป็นตัวการส่วนหนึ่งในนั้น
ไม่มีความเห็น