เป็นเวลาเกือบสามอาทิตย์แล้วสินะ ที่สิ่งต่าง ๆ รอบตัวเราเริ่มขึ้นและจบลงเหมือนเดิมทุกวัน คล้ายกับละครเรื่องหนึ่งที่ถูกฉายเวียนไปเวียนมา ลืมตาขึ้นมาตอนเช้าก็รู้แล้วว่าวันนี้อะไร ๆ ก็คงเป็นเหมือนเช่นเมื่อวาน
แปดโมงเช้า เอื้อมมือไปปิดนาฬิกาปลุก อีกครึ่งชั่วโมงจึงลุกออกจากเตียง อาบน้ำแปรงฟัน จัดข้าวของใส่กระเป๋า และฟังรายการข่าวช่วงเช้าไปพร้อม ๆ กัน เก้าโมงเช้าก็ได้เวลาออกจากบ้านเพื่อไปยังห้องแล็บ .. ที่ประจำของเราในทุก ๆ วัน
ความรู้สึกช่วงนี้และอากาศแบบนี้มันช่างเข้ากันดีเหลือเกิน ฝนตกติดต่อกันมาเป็นเวลาสองอาทิตย์แล้ว หนักบ้างเบาบ้างตามใจฟ้า ที่ผ่านมาเราทำได้แค่เพียงขี่จักรยานผ่านสายฝนเพื่อไปทำงาน แต่สองวันมานี้เราตัดสินใจเดินแทนที่จะขี่จักรยาน อาจเป็นเพราะอากาศที่ไม่เป็นใจผสมผสานกับความรู้สึกส่วนตัว การเดินไปทำงานในช่วงนี้จึงได้อะไรมากกว่าที่คิด แม้จะใช้เวลาเดินถึงครึ่งชั่วโมงก็ตาม
เก้าโมงครึ่งที่ออฟฟิศ สิ่งรอบตัวก็ยังเหมือนเช่นเมื่อวาน เพื่อนร่วมงานก็ยังคงเป็นคนเดิม ๆ เรามานั่งทำงานที่โต๊ะทำงานตัวเดิม ชีวิตในออฟฟิศเริ่มต้นด้วยการเปิดคอมเพื่อเช็คเมลล์ ระหว่างนั้นก็หยิบขนมปังก้อนนึง โยเกิร์ตอีกหนึ่งถ้วยและชงชาอุ่น ๆ อีกแก้ว อาหารเช้าในที่ทำงานก็เริ่มขึ้นพร้อม ๆ กับการเช็คเมลล์ ทักทายพี่ชายและเพื่อน ฝูงที่อยู่เมืองไทยบ้างพอเป็นพิธี
สิบโมงเช้าการทำงานเป็นเรื่องเป็นราวก็เริ่มขึ้น เดินไปห้องแล็บ ทำแล็บไป คิดเรื่องงานไป ฟังเพลงบ้าง กลับมานั่งพักที่ออฟฟิศอีกสักแป๊บ และเดินกลับไปทำแล็บต่อ เป็นอย่างนี้อยู่ตั้งแต่สายจนถึงบ่ายสองกว่า ๆ ก็ได้เวลาอาหารเที่ยง ถือข้าวกล่องที่เตรียมมาจากบ้านเอาไปอุ่นที่ห้องทานอาหารที่ชั้นสาม
วันนี้เรามีข้าวไข่เจียวหมูสับที่ดู ๆ แล้วจะเห็นหมูสับ หอมใหญ่ และมะเขือเทศรวมกันมากกว่าไข่ซะอีก นั่งทานข้าวเที่ยงได้ไม่ถึงสิบนาทีก็เหลือบดูนาฬิกา ได้เวลาที่เราต้องทำแล็บอีกแล้วหรือนี่ ถือกล่องข้าวที่ยังกินไม่หมดกลับลงมาที่ออฟฟิศ วางกล่องข้าวไว้บนโต๊ะแล้วเดินไปห้องแล็บ เช็คแล็บเล็กน้อยแล้วกลับมานั่งกินข้าวต่อจนหมดกล่อง และเดินกลับไปทำแล็บเหมือนเดิม
ห้าโมงเย็น เราได้เห็นผลการทดลองที่ทำไปวันนี้ มันไปไม่ถึงไหนอีกแล้ว ความหวังที่เอามาจากบ้านเมื่อเช้าว่าวันนี้ผลการทดลองน่าจะออกมาดี มันหายไปอีกเช่นเคย ได้แต่บอกตัวเองว่า ไม่เป็นไรหรอก ลองทำใหม่อีกครั้ง เดี๋ยวเราก็จะได้ผลการทดลอง ปลอบใจตัวเองอย่างเช่นเมื่อวานและเมื่อวานซืนและวันก่อน ๆ ที่ผ่านมา
แม้จะรู้ว่าต้องเริ่มต้นทำการทดลองใหม่ แต่เพราะเราเป็นคน มิใช่หุ่นยนต์ จิตใจและกำลังใจที่ถูกบั่นทอนลงทุกวันทุกวัน ด้วยผลการทดลองที่ไม่เป็นเหมือนที่ตั้งใจไว้ ทำให้เราเริ่มล้าและรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยเกินกว่าจะเดินกลับไปห้องแล็บและลงมือทำการทดลองต่อไปได้
ไม่นานนัก เราตัดสินใจหยิบเสื้อกันหนาวพร้อมเงินอีกเล็กน้อยและพ๊อคเก็ตบุ๊คอีกหนึ่งเล่ม เดินออกจากที่ทำงานไปกลางฝนที่ตกลงมาปรอย ๆ เหมือนจะซ้ำเติมจิตใจกันยังไงยังงั้น เวลาอย่างนี้ ถ้าเราอยู่เมืองไทยก็คงบิดมอเตอร์ไซด์เรื่อยเปื่อยไปตามทาง หรือออกไปหาอะไรอร่อย ๆ กินให้อิ่มท้องมันซะเลย แต่ที่นี่คืออังกฤษ เราจะไปที่ไหนดี ฝนก็ตก ห้าโมงกว่าแล้ว ร้านค้าทยอยกันปิด คงเหลือที่เดียวให้เราไปอีกเช่นเคย
เดินไปเรื่อย ๆ มองดูบรรยากาศภายนอก คอนเทคเลนส์ก็ไม่ได้ใส่มา ทุก ๆ อย่างรอบตัวเลยกลายเป็นภาพเบลอ ๆ ก็ดีเหมือนกัน มองไม่เห็นอะไรซะบ้างจะได้ไม่ต้องสนใจอะไรมากมายนัก เดินไปถึงร้านกาแฟ โชคดีเหลือเกินที่ที่นั่งมุมโปรดของเรายังว่างอยู่ สั่งกาแฟแก้วนึงมานั่งดื่มและมองดูฝนที่ตกปรอย ๆ และผู้คนที่เดินผ่านไปมานอกร้าน
วันนี้เป็นการมานั่งร้านกาแฟครั้งแรกในรอบสามอาทิตย์อีกเช่นกัน เป็นไปได้เหรอเนี่ย จากอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง นี่ผ่านมาสามอาทิตย์แล้วเหรอ เราทำอะไรอยู่สามอาทิตย์นี้จึงไม่ได้แวะเวียนมาที่นี่เลย เอาน่าอย่างน้อยวันนี้เราก็มาแล้ว
แต่ความรู้สึกในวันนี้ไม่เหมือนวันอื่น ๆ ที่เรามานั่งร้านกาแฟ ที่ผ่านมาเรามานั่งอ่านเปเปอร์ อ่านพ๊อคเก็ตบุ๊ค เอางานมาทำ หรือมานั่งคุยกับเพื่อน ๆ วันนี้มันไม่ใช่เลย แม้จะมีหนังสือติดมือมาด้วย แต่อ่านได้แค่หน้าเดียวก็ต้องหยุด เพราะความรู้สึกมันไม่ใช่เอาซะเลย เปล่าเลย เราไม่ได้อยากมาอ่านหนังสือ เราแค่อยากมานั่งเฉย ๆ นั่งมองดูอะไรรอบ ๆ ตัว นั่งฟังเพลงไปเรื่อย ๆ บางเพลงอาจทำให้เราอมยิ้มได้บ้างหรือบางเพลงก็ทำให้เราเศร้าลงจนอยากร้องไห้
ดื่มกาแฟไป ฟังเพลงไป มองดูคนรอบ ๆ ข้างไป และปล่อยจิตใจไปตามอารมณ์ นี่แหละมั๊งที่เรียกว่านั่งเสพความรู้สึกของตัวเอง ปล่อยใจให้ว่างเปล่า ไม่ต้องคิดอะไร ไม่ต้องคิดว่ากลับไปต้องทำงานอะไรต่อ ไม่ต้องคิดว่าผลการทดลองจะเป็นเช่นไร ไม่ต้องคิดอะไรเลย นั่งไปเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ จนกว่าเราจะพอใจ
เกือบหกโมงครึ่งแล้ว ร้านกาแฟจะปิดแล้วล่ะ นี่คงได้เวลาที่เราจะกลับสู่โลกแห่งความจริง กลับไปสู่ที่ที่เราเดินออกมาเมื่อชั่วโมงที่แล้ว แม้จะเดินกลับทางเดิมที่เราเดินมาแต่ฝนเจ้ากรรมดันตกหนักกว่าเดิม เหมือนจะเป็นอะไรสักอย่างบอกเราว่า กลับไปถึงที่ทำงานแล้วคงมีอะไรหนัก ๆ ให้เจอมากกว่าเดิม เดินไปใจก็เศร้าลงเรื่อย ๆ อยากจะเดินร้องไห้ท่ามกลางสายฝนเหมือนในมิวสิควิดีโอ แต่ก็ทำไม่ได้ ในใจเราอาจจะกำลังร้องไห้อยู่ก็ได้ แต่เพราะอะไรก็ไม่รู้ที่ทำให้เราร้องไห้ไม่ออก อาจเป็นเพราะเราเคยผ่านความรู้สึกนี้มาบ้างแล้ว จิตใจเราอาจเข้มแข็งขึ้น หรือไม่ มันก็กำลังด้านชากับความรู้สึกของตัวเอง เดินมาเรื่อย ๆ จนถึงที่ทำงานพร้อม ๆ กับที่เครื่องเล่นเอ็มพีสามของเราดับลงเพราะแบตเตอร์รีที่หมดไป อะไร ๆ มันช่างพอเหมาะกันซะเหลือเกิน
ทุ่มนึงในออฟฟิศที่มองไปรอบ ๆ ตัวก็ไม่เห็นใคร เพื่อน ๆ กลับบ้านไปพักผ่อนกันหมดแล้ว คงเหลือเราในห้องนี้คนเดียวอีกเช่นเคย เดินไปห้องแล็บเพื่อดูผลการทดลองอีกอันหนึ่งด้วยใจที่รอลุ้นว่ามันจะออกมาเป็นเช่นไร และไม่ช้าเราก็พบว่า อีกแล้ว เหมือนเดิมอีกแล้ว แล็บที่ทำไปทั้งหมดในวันนี้มันไม่ได้อะไรกลับมาอีกแล้ว วันนึงเต็ม ๆ ที่หมดไปโดยไม่ได้อะไรเลย
ไม่เป็นไรหรอก วันนี้ไม่ใช่วันแรกที่มันเป็นเช่นนี้ อาทิตย์ที่แล้วมันก็เป็นแบบนี้ ยี่สิบกว่าวันเองที่มันวนเวียนอยู่แบบนี้ ได้แต่บอกตัวเองว่า ไม่เป็นไร พรุ่งนี้เริ่มใหม่ มันต้องมีวันของเราบ้างสักวัน ฟ้าหลังฝนย่อมมีให้เห็นอยู่เสมอ เอาน่า ฝนตกติดต่อกันมาเกือบสามอาทิตย์ พร้อม ๆ กับที่เราเริ่มการทดลองเรื่องนี้มาสามอาทิตย์แล้วเช่นกัน วันไหนที่ฝนหยุดตก วันนั้นคงเป็นวันของเรา
เหลือบมองนาฬิกา สองทุ่มกว่าแล้ว เราก็ยังใช้ชีวิตเช่นสิบโมงเช้า พักทานข้าวเย็นด้วยเมนูเดิม ข้าวไข่เจียวหมูสับ เพราะชีวิตเป็นแบบนี้ติดต่อกันมาหลายวัน เมื่อเช้าจึงรู้ว่าต้องเตรียมข้าวกล่องไปสำหรับสองมื้อ คือทั้งมื้อเที่ยงและมื้อเย็น กลายเป็นว่าชีวิตในหนึ่งวันและอาหารสามมื้อตั้งแต่เช้าจนค่ำ ก็อยู่ที่ออฟฟิศนี่แหละ
เลยสามทุ่มมานิดหน่อย ปิดเครื่องมือ เก็บอุปกรณ์การทดลองเรียบร้อย เขียนบันทึกฉบับนี้เสร็จก็คงได้เวลากลับบ้าน วันนี้ตั้งใจจะเดินกลับเหมือนเช่นเมื่อวาน จักรยานคู่กายถูกจอดทิ้งไว้ที่ทำงานมาตั้งแต่เมื่อคืนและมันคงอยู่อย่างนั้นอีกสักพัก เช่นเดียวกับเจ้าโน๊ตบุ๊คคู่ใจเครื่องนี้ ก็คงถูกปล่อยให้นอนเฝ้าโต๊ะทำงานเช่นเคย มันนอนอยู่บนโต๊ะนี้มาหลายคืนแล้วล่ะ นอนต่อไปอีกสักหน่อยคงไม่เป็นไร
กว่าจะกลับถึงบ้านก็คงสี่ทุ่มพอดี อาบน้ำอาบท่า เก็บข้าวเก็บของในห้องให้เข้าที่เข้าทาง แล้วไปทำข้าวกล่องวันพรุ่งนี้ คงเป็นเมนูง่าย ๆ ผัดถั่วงอกกับหมูสับ สำหรับมื้อเที่ยงและมื้อเย็นที่ออฟฟิศในวันรุ่งขึ้น ทำกับข้าวเสร็จเราก็คงจะนั่งเขียนรายงานผลการทดลองของวันนี้และวางแผนสำหรับการทดลองของพรุ่งนี้ ซึ่งคงไม่มีอะไรแตกต่างจากที่ทำไปวันนี้มากนัก อาจจะเพียงเปลี่ยนสารเคมีใหม่สักตัวสองตัวก็ว่ากันไป
กว่าจะเขียนจะคิดอะไรเสร็จก็คงเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้วล่ะ ได้เวลาเข้านอนและรอตื่นขึ้นมาปิดนาฬิกาปลุกตอนแปดโมงเช้าอีกเช่นเคย เหตุการณ์ในวันพรุ่งนี้คงไม่มีอะไรต่างจากวันนี้ มันคงวนเวียนอยู่อย่างนี้อีกสักพัก
ได้แต่หวังว่าเมื่อไหร่ที่ฝนหยุดตก เราคงได้ผลการทดลองอย่างที่ตั้งใจไว้ ... และมันก็เป็นเช่นนั้นเอง
สวัสดีจ้าคุณณิช
อ่านๆ แล้วดูเนื่อยๆ จัง
สงสัยบรรยากาศพาไปรึเปล่า เวลาฝกตกติดๆ กันมันพาลจะทำให้อารมณ์ เศร้า เหงา เซ็งไปเรื่อย
นึกถึงตอนเป็นเด็กสิ พอฝนตกดีใจจะตาย จะได้เล่นน้ำฝน จะได้พับเรือลอยที่ถนนเมื่อน้ำท่วม ฮ่าฮ่า เด็กๆ ไม่เคยต้องคิดมาก (เราก็อย่าเพิ่งรีบแก่ ฮิฮิ)
สู้ๆ จ้า
^_____^
บางอารมณ์ก็เป็นเหมือนกันแหละ ก็ผลัดกันเป็นกำลังใจล่ะกันนะ
เดี๋ยวก็ summer แล้ว อะไรๆคงไม่ routine มาก ต้องคุมตัวเองไม่ให้เหลิงไปกับอากาศดีๆซะมากกว่า : )
summer ที่ไร งานช้าลงทุกปี
มาช่วยอวยพรให้ฝนหยุดเร็วๆนะ
(ที่แวนคูเวอร์ เริ่มร้อนแล้ว)
ตอนนี้ที่ไทยฝนก้อตกทุกวันเหมือนกัน เมื่อเช้าก้อตกหนักมาทำงานสายเลย แต่ไม่เปงไรวันนี้หัวหน้าไม่อยู่ หมูร่าเริง555
ยังไงก้อสู้ๆนะเพื่อน เราเชื่อว่าสักวันจะต้องมีวันที่เปงของณิช เป็นกำลังใจให้เสมอนะจ๊ะ
คิดถึงนะและก้อดูแลตัวเองด้วย
สวัสดีค่ะคุณ ณิชนันทน์ : )
ตั้งใจว่าเช้านี้จะเข้ามาเช็คเมล(เหมือนทุกวัน) แล้วจะขับรถไปทำงาน(เดิมๆที่ทำเหมือนเดิมทุกวัน) เปิดเจอคุณณิชบันทึกได้อย่างน่ารัก จนต้องล็อกอินเข้ามาตอบอะค่ะ
"เหตุการณ์ในวันพรุ่งนี้คงไม่มีอะไรต่างจากวันนี้ มันคงวนเวียนอยู่อย่างนี้อีกสักพัก"
โอเข้าใจเลย ....มันจะเวียนมาถึงไข่เจียวหมูสับอีกจนได้ (เล่าได้เห็นภาพจนอยากกินด้วย ถ้าได้น้ำพริกกะปิสักถ้วยนี่ ....สวรรค์เลยอะค่ะ)
อยากบอกว่าเข้าใจจังเลยค่ะ เข้าใจ๊...เข้าใจ แล้วก็เลยอยากเล่าสู่กันฟังมั่ง
ดิฉันมีน้องสาวที่รักมากคนหนึ่ง(เป็นฝรั่ง) จากบ้านจากเมืองมาไกล มาสอนเด็กราชภัฏ มาอยู่นครศรีฯที่ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยว ไม่มีแสงสีเสียง เราทำงานด้วยกันมาพักนึง
แล้ววันหนึ่ง เขาก็พูดขึ้นมาที่ร้านโรตี ในวันฝนตก ว่า เขารู้สึกสงสัยว่าที่กำลังทำไปเนี่ย ทำเพื่ออะไรก็ไม่รู้ ทำเต็มที่เนี่ยแหละ แต่เหมือนไม่รู้จุดหมายว่าเขาต้องทำงานหนักทั้งหมดนี่ไปเพื่ออะไร
คำถามของน้องกระทบใจดิฉันมากนะคะ มาเจอบันทึกนี้ของคุณณิชเข้าก็นึกถึงวันนั้นเลย เพราะดิฉันกับน้องกำลังรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน ...ถามตัวเองด้วยคำถามแบบเดียวกัน แล้วก็กำลังหาคำตอบ(ในวันฝนตก)เหมือนกัน....
แต่ในฐานะที่แก่กว่า (อิอิ) ดิฉันเลยบอกน้องไปว่า ลองเปลี่ยนจาก What am I doing this for..? เป็น Who am I doing this for ? ไหม
เช่นดิฉันเป็นครู หัวใจดิฉันก็อยู่ที่นักเรียน เมื่อเรารู้ว่าหัวใจเราอยู่ที่ไหน เราก็จะมีเป้าหมายแน่ชัด เมื่อเรารู้ว่าเราเป็นใคร เรากำลังทำอะไร และที่สำคัญคือ "กำลังทำเพื่อใคร" เป้าหมายเราก็จะชัด .......คราวนี้ก็เหลือแต่วิธีการเท่านั้น.....
คืองี้นะคะ ...ในขณะที่อธิบาย ดิฉันพูดกระท่อนกระแท่นแบบว่าเวียนหัวมาก ภาษาอังกฤษก็ไม่ค่อยแข็งแรง แต่ตั้งใจอธิบายมาก หากน้องเขาก็ดูเหมือนจะเข้าใจซาบซึ้ง เพราะเขาตอบว่า
เขากำลังหาอยู่เหมือนกัน.....ว่าหัวใจเขาอยู่ที่ไหน.....
จากนั้นเราก็นั่งมองหน้ากันด้วยความซาบซึ้ง ต่อหน้าจานโรตีไม่ใส่นม ชาเย็น และมะตะบะ
เป็นผู้หญิงด้วยกันนี่ก็ดีเหมือนกันแฮะ เข้าใจกันง่ายดีชะมัด : )
สองปีผ่านไป ในวันซ้อมรับปริญญาของเด็กๆที่มหาวิทยาลัย น้องเขาก็กลับมาเพื่อมาร่วมแสดงความยินดีกับเด็กๆที่เขาสอนโดยเฉพาะ เขาไปอยู่โคราช และต้องทำงานเดินสายอบรมครู...หนักมาก.. แต่ก็ยังอุตส่าห์เดินทางหนึ่งคืนสองวัน เพื่อกลับมาหาเด็กๆ ....เพื่อมางานเลี้ยงแสดงความยินดีก่อนรับปริญญา แค่สามชั่วโมง...
พวกเราครูไทยก็มองหน้ากัน เพราะถ้าลูกศิษย์เรา ไปรับปริญญาที่โคราช เราก็คงแค่โทรฯถึงกัน ไม่ทุ่มทุนเดินทางมาอย่างนี้ ....และเด็กๆเขาก็ดีใจกันมาก
ดิฉันอยากเล่าสู่กันฟัง ถึงความทรงจำในวันฝนตกนะคะ และในขณะที่ดิฉันกับน้องยังคงหาคำตอบตามเส้นทางของตัวอยู่นั้น ดิฉันว่าในบันทึกนี้.....คุณณิชมีคำตอบที่ดิฉันประทับใจ
"...... มันเป็นเช่นนั้นเอง ...... "
สำหรับดิฉัน เมื่อเรารู้สึกว่า ".. (คล้ายๆจะ)เข้าใจ..." เราก็ (คล้ายๆจะ) เห็นคำตอบที่ดูเหมือนง่าย ....แต่ลึกซึ้งนัก ..... และทำให้รู้สึกสุขใจดี
ขณะที่เขียนใกล้จบนี้ ฝนก็กำลังตกปรอยๆเหมือนกัน ..........
...รักษาสุขภาพนะคะ คุณณิช และขอให้ราบรื่น(มากที่สุดเท่าที่จะมากได้)ในทุกการทดลอง ....ดิฉันชอบแว่บเข้ามาดูรูปในบันทึกบ่อยๆ แต่ไม่ได้ฝากรอยไว้ ขอส่งกำลังใจมาจากเมืองไทย รวบยอดฝากไว้ในบันทึกนี้นะคะ : )
เขียนดีเว๊ยเฮ๊ย...ใช้ได้ๆ
สู้ๆ นะเพื่อน ขอให้ประสบความสำเร็จทุกด้าน
ยังไงก็จะคอยเป็นกำลังใจ แต่ชั้นเชื่อ...ว่าแกน่ะ
เอาตัวรอดได้สบายอยู่แล้ว จริงมั๊ย ^^
สวัสดีค่ะคุณณิช
เบิร์ดตามอ่านบันทึกของคุณมาตลอด..แต่ขอมาสรุปในบันทึกนี้ ( เหมือนพี่แอมป์นะคะ )
เพราะอ่านแล้วเบิร์ดนึกถึงคำพูดของ ติช นัท ฮันห์ ที่ว่า.." แม้ชีวิตจะยากลำบาก..แต่บนท้องฟ้ายังมีแสงดาว "..เมื่อเรารู้สึกท้อแท้ หมดกำลังใจ ขอให้เก็บความรู้สึกนี้ไว้สักครู่ แล้วมองขึ้นไปบนฟ้าเราจะเห็นว่ามีปุยเมฆ มีฟ้าคราม มีดวงจันทร์ มีดวงดาวที่ยังเป็นเพื่อนเรา มองไปรอบๆมีต้นไม้ ที่ให้ร่มเงา มีสายลมที่ให้ความเย็นชื่น มีสายฝนที่พร่างพรมเป็นเพื่อน มีพื้นดินที่ยังหนักแน่นคอยอุปถัมภ์เราอยู่ และยังกระซิบบอกเราว่าถึงเราไม่มีใครก็ยังมีพวกเขา...เป็นเพื่อนร่วมทาง
เบิร์ดพยายามจะสื่อให้โดนใจตนเองแต่ก็ยากลำบากเหลือเกิน..คงบอกได้แต่เพียงว่า " แม้ชีวิตจะยากลำบาก..แต่บนท้องฟ้ายังมีแสงดาวที่เป็นความห่วงใยจากทุกๆคนถึงคุณณิชนะคะ "
สวัสดีค่ะทุก ๆ คน
ตอนนี้เลยเก้าโมงครึ่งมานิดหน่อย (ตามเวลาในประเทศอังกฤษ) ได้เวลามานั่งเช็คเมลล์พร้อมกับทานอาหารเช้า .. ขนมปังหนึ่งก้อนที่เหลือจากเมื่อวานและชาอุ่น ๆ อีกแก้วนึงเหมือนเดิม ...
เปิดมาเจอกำลังใจทั้งจากเพื่อนเก่าที่เมืองไทยและเพื่อนใหม่ในโกทูโน ขอบคุณมากสำหรับทุกกำลังใจที่มอบให้มา ... เติมพลังให้กันเล็กน้อยก่อนที่เราจะเดินไปห้องแล็บและเริ่มการทดลองสำหรับวันนี้
วันนี้เดินมาที่ทำงานเหมือนเมื่อวาน แต่เปลี่ยนเส้นทางเดินเพื่อที่จะได้มองดูอะไร ๆ ที่ไม่ได้มองเมื่อวานซะบ้าง
แม้เมื่อเช้าฟ้าจะเริ่มมัว ๆ แต่อย่างน้อยระหว่างที่เดินมาฝนมันก็ยังไม่ตก ... ได้แต่หวังว่าวันนี้น่าจะมีอะไรดีกว่าเมื่อวาน
กำลังใจยังมีอยู่เต็มเปี่ยม พลังยังมีอยู่เกินร้อย ...
ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
ณิช
เอากำลังใจมาให้น้องณิช
ถ้าดื่มกาแฟหรือชา ก็เติมกำลังใจใส่ถ้วยด้วยนะ ค่อยๆเติมละ เดี๋ยวจะล้นถ้วย
ถ้าทอดไข่เจียวหมูสับ ก็โรยกำลังใจตอนทำเสร็จแล้ว
อิอิ
.
ปล.ขอให้เดินทางกลับโลกเร็วๆนะ 5555
สวัสดีจ้าพี่หยู
ขอบคุณ ขอบคุณและขอบคุณสำหรับกำลังใจที่ล้นถ้วยกาแฟค่ะ :D
ปล. ไม่นานเกินรอก็จะได้กลับไปเยือนโลกอีกครั้งแล้วล่ะ อิอิ
ณิช