นิทานธรรมะ


เรื่อง ยักษ์ปีนต้นไม้
 
ยักษ์ปีนต้นไม้
bpi07 (20K)
          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายตัดฟืนอาศัยอยู่ในป่า ทำมาหากินด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และแน่นอน
          จนกระทั่งมาวันหนึ่ง ปรากฏร่างเทวดาตรงหน้าชายตัดฟืน
          "เราจะมอบของล้ำค่า เพื่อเป็นรางวัลตอบแทนที่เจ้าเป็นคนดี มันคือยักษ์วิเศษ "เทวดากล่าวและบรรยายสรรพคุณต่อ "เจ้ายักษ์ตนนี้มีความสามารถสูง มันเกิดมาเพื่อทำงาน มันสามารถทำงานให้เจ้าได้ทุกอย่าง และทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และที่สำคัญมันทำงานได้เร็วมากเลย" "แต่.." เทวดาเว้นวรรคเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อ "เจ้าต้องระวังหากไม่สามารถหางานให้มันทำได้ละก็…มันจะกลับมาเล่นงานเจ้าเอง มันจะเล่นงานเจ้าถึงตายเชียวนะ"
          ชายตัดฟืนตัดสินใจรับยักษ์วิเศษไว้ เขาพามันกลับบ้าน
          ทันทีที่เข้าบ้าน ยักษ์ตนนั้นก็เริ่มกล่าวว่า "นาย ๆ มีอะไรให้ข้าฯ ทำบ้าง"
          ชายตัดฟืนได้มอบหมายงานให้ยักษ์ไปทำความสะอาดบ้านที่รกรุงรัง ตัวเองก็กระหยิ่มใจที่ได้พัก ขณะที่เขากำลังจะเอนตัวลงงีบ ก็ได้ยินเสียงชัดเจนดังข้างหูว่า "นาย ๆ ข้าฯ ทำความสะอาดบ้านเสร็จแล้ว มีอะไรให้ข้าฯ ทำอีก"
          ชายตัดฟืนกวาดสายตามองไปรอบ ๆ บ้านอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง บ้านสะอาดหมดจดอย่างไม่มีที่ติ เหงื่อเม็ดโป้งผุดขึ้นเต็มหน้าผาก เขาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าสั่งให้ยักไปตัดฟืนที่เขาทำค้างไว้เป็นงานชิ้นใหญ่ที่ทำให้เขาพอมีเวลา จากนั้นชายตัดฟืนได้ไปปรึกษาท่านผู้รู้ประจำหมู่บ้าน หลังจากฟังคำแนะนำชายตัดฟืนได้กลับถึงบ้าน เจ้ายักษ์เสร็จงานผ่าฟืนพอดี
          "นาย ๆ ผมผ่าฟืนเสร็จแล้วมีอะไรให้ผมทำอีก" น้ำเสียงของเจ้ายักษ์ส่อเลศนัยว่ามันจะได้กินชายตัดฟืนเป็นอาหารแน่ ๆ
          ชายตัดฟืนเริ่มทำตามแผนทันที เขาสั่งให้ยักษ์พาตนไปยังต้นไม้สูงกลางป่า ณ ต้นไม้นั้นเขาสั่งให้เจ้ายักษ์ให้ลิดกิ่ง ลิดใบออกจนหมด ต้นไม้สูงต้นนี้จึงดูเหมือนเสาโล้น ๆ ต้นหนึ่ง
          "นับจากนี้ไป" ชายตัดฟืนกล่าว "เมื่อใดที่เจ้ายืนอยู่ที่โคนต้นงานของเจ้าคือให้ปีนขึ้นไปจนสุดปลายยอดไม้" เขาเว้นเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวต่อ "และเมื่อใดที่เจ้าอยู่ปลายยอดไม้ งานของเจ้าคือให้ปีนลงมายังโคนต้นไม้"
          คำสั่งสองคำนี้ทำให้เจ้ายักษ์ทำงานเป็นวงจรอันไม่รู้จบ ผลก็คือเมื่อใดที่ชายตัดฟืนมีงานให้ทำ เขาก็เรียกเจ้ายักษ์มาใช้ ครั้นเมื่องานเสร็จสิ้นลงเขาก็ใช้ให้เจ้ายักษ์ไปปีนต้นไม้…..
          ยักษ์วิเศษตนนี้ก็คือความคิดของมนุษย์นั่นเอง ใช่หรือไม่ที่ความคิดของมนุษย์เป็นสิ่งที่มีความสามารถสูง เป็นสิ่งที่เร็วยิ่ง มนุษย์มีเทคโนโลยีอันทันสมัย เดินทางไปถึงดวงจันทร์ได้ ก็เพราะความคิดนี่เอง แต่..บ่อยครั้งที่เราพบว่าเพราะความคิดนี่แหละ กลับมาเล่นงานมนุษย์เสียเอง บางคนคิดมากจนบั่นทอนสุขภาพ บ้างถึงกับจบชีวิตตนเองลงด้วยซ้ำ ก็เพราะเจ้าความคิดนี่เอง
          ต้นไม้ในนิทานก็คือลมหายใจในตัวเรานั่นเอง ซึ่งจะเดินทางขึ้นลง จากปอดขึ้นสู่จมูกจากจมูกลงสู่ปอดเท่านั้น
          นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าผู้มีปัญญาย่อมรู้จักที่จะใช้ความคิดของตนเองให้เกิดประโยชน์ ครั้นเมื่อว่างจากการคิด ก็ควรหมั่นฝึกนำจิตของตนมารู้อยู่กับลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ผู้ที่ทำได้เช่นนี้ ก็จะยังชีวิตที่เป็นประโยชน์และเป็นสุข.



จาก: นิตยสารหมอชาวบ้าน ฉบับที่ 289/2546

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.budpage.com ครับ



คำสำคัญ (Tags): #นิทานธรรมะ
หมายเลขบันทึก: 96507เขียนเมื่อ 16 พฤษภาคม 2007 10:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 17:21 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (17)

                  อาจารย์คงเป็นนักเล่นนิทานที่ดีคนหนึ่ง  ตอนผมเรียนอยู่ชั้นประถมก็ชอบฟังนิทานจากคุณครูนะครับ   ผมว่านิทานมีประโยชน์มาก เรื่องราวชวนคิดในตอนแรกจะมีบทสรุปให้ได้เข้าใจมากขึ้นในตอนท้าย     เดี๋ยวนี้เด็กใช้จินตนาการน้อยลงไม่คิดเพราะเสพได้เร็วเห็นได้ด้วยตาเลยนะผมว่า สมองส่วนจินตนาการจึงไม่ได้ใช้ ความอ่อนโยนลุ่มลึกจึงน้อยลง  แต่รุนแรงและกระด้างมากขึ้น

               เห็นนิทานกับการ์ตูนของอาจารย์แล้วผมดีใจที่เด็ก ๆ ที่นั้นจะได้ใช้จินตนาการและผสานกับหลักธรรมไปด้วยครับ

                ขอบคุณครับ

         ขอบคุณคุณสุมิตรชัยP มากครับก็กำลังศึกษาครับเพื่อนำมาเล่าเด็ก ๆ  บันทึกเรื่อง บ้านกลางสวนแสนรักแสนห่วงใย แสนอบอุนในหัวใจ... ที่คุณสุมิตรชัยเขียนให้ความรู้สึกที่ดีมากครับและจะติดตามอ่านเรื่อย ๆ นะครับ

 

"ช่างไม้พ่อลูก"

           กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีสองคนพ่อลูกประกอบอาชีพเป็นช่างไม้ หารายได้จากการทำเครื่องมือเครื่องใช้ โต๊ะ ตู้ เตียง ขายเลี้ยงชีพ ไปตามอัตภาพ
           ช่างไม้ผู้พ่อได้ถ่ายทอดวิชาช่างให้แก่ลูกชายจนหมดสิ้น ลูกชายจึงมีฝีมือช่างไม้ที่ยอดเยี่ยมมาก แต่มีข้อเสียอยู่อย่างเดียวคือ ช่างไม้ลูกชายคนนี้เป็นคนใจร้อน มุทะลุ แก้ไม่หายสักที
           วันหนึ่งขณะที่ช่างไม้สองพ่อลูกทำงานอยู่ด้วยกัน ผู้เป็นพ่อกำลังเลื่อยไม้ ส่วนลูกชายกำลังตอกตะปูอยู่ใกล้ ๆ ปรากฏว่ามีแมลงวันตัวหนึ่งมีเกาะอยู่บนศีรษะอันล้านเลี่ยนของช่างไม้ผู้พ่อ แกรำคาญมากอยากจะเอามือปัดออก แต่ว่าไม่สามารถละมือจากการทำงานได้ จึงบอกให้ลูกชายช่วยจัดการเจ้าแมลงวันให้หน่อย ลูกชายขณะนั้นกำลังใช้ฆ้อนตอกตะปูโป๊กๆ อยู่พอดี พอรู้ว่ามีแมลงวันบังอาจมาเกาะหัวพ่อของตนเท่านั้น ก็คิดโกรธแค้นเจ้าแมลงวันมาก จึงรี่เข้าไปใช้ฆ้อนทุบเจ้าแมลงวันที่เกาะบนหัวพ่อสุดแรงเกิด
           ผลก็คือเจ้าแมลงวันตัวนั้นตายไปพร้อมกับช่างไม้ผู้เป็นพ่อที่กระโหลกแตกตายคาที่ตรงนั้นเอง

**นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนเราแม้ว่าจะคิดช่วยเหลือผู้อื่น หรือ ช่วยเหลือสังคม แต่ถ้าใช้วิธีแก้ไขปัญหาด้วยความโกรธเกลียดชัง หรือ ใช้นโยบายที่รุนแรง แม้จะเป็นที่สะใจของคนทั่วไป มีคนเชียร์ มากมาย แต่ผลกระทบข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นตามมา มันจะร้ายแรง จนไม่คาดไม่ถึง ดังตัวอย่างนิทานเรื่องนี้

   นิทานเรื่องนี้แม้จะออกแนวโหดสำหรับเด็ก ๆ แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ได้ฟังแล้วอึ้งไปเลยครับ

            ศิลปะในการนำเรื่องนิทานมาโยงกับเหตุการณ์จริง หรือว่ามาฉุดความฉุกคิดในการกระทำปัจจุบันได้เป็นสิ่งดีเยี่ยมแยบยลครับ

             เหมือนเรื่องราวประมาณว่า มีเด็กเกียจคร้านคนหนึ่งไม่ชอบทำงาน ช่วยพ่อแม่ วันหนึ่งจึงหลงไปอยู่ในที่ ๆ หนึ่ง เด็ก ๆ ที่นั่นขยัน และไม่ยอมรับ เด็กเกียจคร้านเลย ภายหลังเด็กคิดได้และกลับมาขยัน

             ทำนองนี้ครูเคยเล่าให้ผมฟังเป็นประจำครับ หลายสิ่งสอนในจินตนาการของเด็ก ๆ เอง และฝังอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ

            เรื่องราวดี ๆ ในวันเก่า ๆ ที่จริงยังมีคุณค่ามีประโยชน์อยู่มากมาย แค่ไม่ทิ้งไปเสียหมดเก็บมาปรับปรุงให้เข้ายุคนิดหน่อยจะใช้ได้ดีเลยครับ

             ในวงการศึกษาคงมีเรื่องให้ขบคิดมาก ๆ สำหรับการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและการกดดันของยุคสมัยทั้งคนและ ระบบ

             ยังไงขอขอบคุณอาจารย์ที่เข้าไปชื่นชมผมในบันทึกนะครับ  ความจริงผมก็มือใหม่แถมศึกษาไม่เท่าอาจารย์ณรงค์เลย  ดูบล๊อกของอาจารย์เปลี่ยนแปลงสวยงามอยู่เรื่อย ๆ บอกตามตรงผมยังไม่ทราบวิธีเลยครับ  รู้ว่ามีคนเขียนบอกไว้เหมือนกันแต่ไม่ได้ลองทำน่ะครับ

            ผมว่าอาจารย์ไม่ใช่มือใหม่ซะแล้วครับตอนนี้ ไว้คราวหลังจะขอคำปรึกษาจากอาจารย์นะครับ  ขอบคุณครับ

ขอบคุณนะคะ

เป็นนิทานที่ให้ข้อคิดชีวิตดีๆค่ะ

          ขอบคุณครับ คุณสุมิตรชัย P และคุณหมอซันซันP ที่มาร่วมพูดคุยและให้ข้อคิดที่ดี ๆ ครับ

อ่านต่ออีกเรื่องมั้ยครับ

หม้อดินใบร้าว


ชายชาวอินเดียคนหนึ่ง ห้วงสองปีที่ผ่านมาผู้คนจะพบเห็นจนชินตาว่าบนบ่าของเขามีหม้อดินใบใหญ่วางอยู่ข้างละใบ
หม้อดินใบหนึ่งมีรอยร้าว bpi08 (3K)
ขณะอีกใบสมบูรณ์สวยงาม ไร้ที่ติหม้อใบสวยสามารถบรรจุน้ำไว้เต็มเปี่ยมนับจากลำธารจนถึงบ้านเจ้านาย ขณะที่อีกใบหนึ่งนั้น เมื่อมาถึงปลายทางกลับเหลือน้ำแค่ครึ่งเดียว เท่ากับว่าชายผู้นี้ขนน้ำได้เที่ยวละหม้อครึ่งอยู่ทุกครั้ง แน่ล่ะ...หม้อดินใบสวยย่อมภาคภูมิใจในตนเองที่ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ครบถ้วนส่วนหม้อดินใบร้าว นอกจากอดไม่ได้ที่จะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในความไม่สมประกอบของตนเองแล้ว มันยังรู้สึกผิดกับการทำหน้าที่ได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยอีกด้วย หลังจากสองปีเต็มที่แบกความทุกข์ระทมขมขื่นนั้นเอาไว้ วันหนึ่ง มันจึงตัดสินใจเอ่ยกับคนหาบน้ำตรงลำธารว่า
"ฉันรู้สึกละอายใจเหลือเกิน..ฉันอยากขอโทษท่าน.. ตลอดสองปีมานี้ ฉันทำงานให้ท่านได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
เนื่องจากเจ้ารอยร้าวบนตัวฉันมันทำให้น้ำรั่วไหลไปตลอดทาง" เมื่อฟังเช่นนั้นแล้ว คนขนน้ำก็พลอยรู้สึกเสียใจไปด้วย และแล้วเขาก็พูดว่า "เอาล่ะ..ระหว่างทางที่เราจะเดินกลับไปบ้านเจ้านาย
ฉันอยากให้เธอสังเกตดอกไม้สวยๆข้างทางเดินสักหน่อย เธอไม่ได้สังเกตหรอกหรือว่า ทำไมดอกไม้ป่าเหล่านั้นถึงได้งอกงามเฉพาะฝั่งที่ฉันแบกเธอเท่านั้น ทำไมมันไม่ขึ้นอีกฟากหนึ่งด้วยล่ะ.. นั่นเป็นเพราะฉันได้ตระหนักในข้อจำกัดของเธอ จึงอาศัยเงื่อนไขนี้เพาะเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ป่าตรงทางเดินฝั่งที่ฉันแบกเธอเสมอมา และทุกๆวันขณะที่เราเดินกลับบ้าน เธอเองก็ได้ช่วยฉันรดน้ำให้มัน..แล้วในสองปีนี้ ฉันก็ได้เด็ดดอกไม้สวยๆนี้ไปปักแจกันให้เจ้านายของเราด้วย นี่ถ้าหากไม่มีเธอแล้วล่ะก็
เจ้านายของเราคงไม่มีโอกาสได้ดอกไม้ป่าอันแสนสวยงาม ที่ผลิสะพรั่งอยู่ระหว่างทางมาประดับบ้านเป็นแน่"
ปล.เราเองมีคุณค่าดีพอ ถ้าไม่เปรียบเทียบคนอื่นมากเกินไป ถ้าคิดว่าสิ่งไหนมันไม่ดีก็พยายามแก้ไขทำให้มันดีขึ้น
ผลลัพธ์ของการกระทำไม่ใช่คำตอบแห่งชัยชนะของชีวิต จุดมุ่งหมายและความตั้งใจจริงของเราต่างหากคือคำตอบที่แท้จริง "as good as it gets"


ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.budpage.com ครับ

 

เป็นนิทานที่ให้ข้อคิดดีๆจังค่ะ

ทุกสิ่งล้วนมีคุณค่าในตัวเองจริงๆค่ะ

ขึ้นอยู่กับว่าเห็นหรือเปล่าค่ะ

และ ขึ้นกับมองมุมไหน

เห็นด้วยค่ะ การเปรียบเทียบกับผู้อื่น รังแต่ทำให้รู้สึกแย่กับตัวเอง

เพราะ มองเห็นเขามีดี ในส่วนที่เราไม่มี

แต่ถ้ามองโดยใจเป็นธรรมแล้ว

เรามีดีอยู่อีกหลายอย่าง ที่คนอื่นเขาก็ไม่มีในแบบเราค่ะ

ปัญหาคือเราไม่ได้ใส่ใจคุณค่าที่อยู่ต่างหาก

ไม่ใช่ไม่มีค่าสักหน่อย

ขอบคุณมากนะคะ สำหรับนิทานดีค่ะ

ขอบคุณครับ คุณหมอซันซัน P ที่มาร่วมพูดคุยและให้แนวคิดที่ดี ๆ ครับ  อย่างที่คุณซันซันพูดแหละครับ ทุกสิ่งล้วนมีคุณค่าในตัวเอง ขึ้นอยู่มองมุมของเราครับ

น่าจะมีชื่อหนังสือผู้แต่งชื่อสำนักพิมพ์ปีที่พิมพ์

มีอยู่วันหนึ่งตากับลานอยู่2คน มะตาจะเลานิทาไห้ มีอยู่วันหนึ่งตากับลานอยู่2คน มะตาจะเลานิทาไห้ มีอยู่วันหนึ่งตากับลานอยู่2คน มะตาจะเลานิทาไห้

ขอบคุณมากนะคะสำหรับนิทานดีๆ เราสามารถเอาไปทำการบ้านได้ตั้งเยอะแหนะ ^^"

ถ้าใครมีนิทานดีๆ สามารถเอามาเล่าสู่กันฟังได้นะคะ อิๆ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ.......

ยักษ์ปีนต้นไม้

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายตัดฟืนอาศัยอยู่ในป่า ทำมาหากินด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และแน่นอน

จนกระทั่งมาวันหนึ่ง ปรากฏร่างเทวดาตรงหน้าชายตัดฟืน

"เราจะมอบของล้ำค่า เพื่อเป็นรางวัลตอบแทนที่เจ้าเป็นคนดี มันคือยักษ์วิเศษ "เทวดากล่าวและบรรยายสรรพคุณต่อ "เจ้ายักษ์ตนนี้มีความสามารถสูง มันเกิดมาเพื่อทำงาน มันสามารถทำงานให้เจ้าได้ทุกอย่าง และทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และที่สำคัญมันทำงานได้เร็วมากเลย" "แต่.." เทวดาเว้นวรรคเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อ "เจ้าต้องระวังหากไม่สามารถหางานให้มันทำได้ละก็…มันจะกลับมาเล่นงานเจ้าเอง มันจะเล่นงานเจ้าถึงตายเชียวนะ"

ชายตัดฟืนตัดสินใจรับยักษ์วิเศษไว้ เขาพามันกลับบ้าน

ทันทีที่เข้าบ้าน ยักษ์ตนนั้นก็เริ่มกล่าวว่า "นาย ๆ มีอะไรให้ข้าฯ ทำบ้าง"

ชายตัดฟืนได้มอบหมายงานให้ยักษ์ไปทำความสะอาดบ้านที่รกรุงรัง ตัวเองก็กระหยิ่มใจที่ได้พัก ขณะที่เขากำลังจะเอนตัวลงงีบ ก็ได้ยินเสียงชัดเจนดังข้างหูว่า "นาย ๆ ข้าฯ ทำความสะอาดบ้านเสร็จแล้ว มีอะไรให้ข้าฯ ทำอีก"

ชายตัดฟืนกวาดสายตามองไปรอบ ๆ บ้านอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง บ้านสะอาดหมดจดอย่างไม่มีที่ติ เหงื่อเม็ดโป้งผุดขึ้นเต็มหน้าผาก เขาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าสั่งให้ยักไปตัดฟืนที่เขาทำค้างไว้เป็นงานชิ้นใหญ่ที่ทำให้เขาพอมีเวลา จากนั้นชายตัดฟืนได้ไปปรึกษาท่านผู้รู้ประจำหมู่บ้าน หลังจากฟังคำแนะนำชายตัดฟืนได้กลับถึงบ้าน เจ้ายักษ์เสร็จงานผ่าฟืนพอดี

"นาย ๆ ผมผ่าฟืนเสร็จแล้วมีอะไรให้ผมทำอีก" น้ำเสียงของเจ้ายักษ์ส่อเลศนัยว่ามันจะได้กินชายตัดฟืนเป็นอาหารแน่ ๆ

ชายตัดฟืนเริ่มทำตามแผนทันที เขาสั่งให้ยักษ์พาตนไปยังต้นไม้สูงกลางป่า ณ ต้นไม้นั้นเขาสั่งให้เจ้ายักษ์ให้ลิดกิ่ง ลิดใบออกจนหมด ต้นไม้สูงต้นนี้จึงดูเหมือนเสาโล้น ๆ ต้นหนึ่ง

"นับจากนี้ไป" ชายตัดฟืนกล่าว "เมื่อใดที่เจ้ายืนอยู่ที่โคนต้นงานของเจ้าคือให้ปีนขึ้นไปจนสุดปลายยอดไม้" เขาเว้นเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวต่อ "และเมื่อใดที่เจ้าอยู่ปลายยอดไม้ งานของเจ้าคือให้ปีนลงมายังโคนต้นไม้"

คำสั่งสองคำนี้ทำให้เจ้ายักษ์ทำงานเป็นวงจรอันไม่รู้จบ ผลก็คือเมื่อใดที่ชายตัดฟืนมีงานให้ทำ เขาก็เรียกเจ้ายักษ์มาใช้ ครั้นเมื่องานเสร็จสิ้นลงเขาก็ใช้ให้เจ้ายักษ์ไปปีนต้นไม้…..

ยักษ์วิเศษตนนี้ก็คือความคิดของมนุษย์นั่นเอง ใช่หรือไม่ที่ความคิดของมนุษย์เป็นสิ่งที่มีความสามารถสูง เป็นสิ่งที่เร็วยิ่ง มนุษย์มีเทคโนโลยีอันทันสมัย เดินทางไปถึงดวงจันทร์ได้ ก็เพราะความคิดนี่เอง แต่..บ่อยครั้งที่เราพบว่าเพราะความคิดนี่แหละ กลับมาเล่นงานมนุษย์เสียเอง บางคนคิดมากจนบั่นทอนสุขภาพ บ้างถึงกับจบชีวิตตนเองลงด้วยซ้ำ ก็เพราะเจ้าความคิดนี่เอง

ต้นไม้ในนิทานก็คือลมหายใจในตัวเรานั่นเอง ซึ่งจะเดินทางขึ้นลง จากปอดขึ้นสู่จมูกจากจมูกลงสู่ปอดเท่านั้น

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าผู้มีปัญญาย่อมรู้จักที่จะใช้ความคิดของตนเองให้เกิดประโยชน์ ครั้นเมื่อว่างจากการคิด ก็ควรหมั่นฝึกนำจิตของตนมารู้อยู่กับลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ผู้ที่ทำได้เช่นนี้ ก็จะยังชีวิตที่เป็นประโยชน์และเป็นสุข.

จาก: นิตยสารหมอชาวบ้าน ฉบับที่ 289/2546

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.budpage.com ครับ

--------------------------------------------------------------------------------

หมวดหมู่: เรื่องทั่วไป

คำสำคัญ: นิทานธรรมะ

สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการ

สร้าง: พ. 16 พฤษภาคม 2550 @ 10:20 แก้ไข: พ. 08 ส.ค. 2550 @ 02:55

ความเห็น

1.

mr. สุมิตรชัย คำเขาแดง

เมื่อ พฤ. 17 พฤษภาคม 2550 @ 11:06

#262799 [ ลบ ]

อาจารย์คงเป็นนักเล่นนิทานที่ดีคนหนึ่ง ตอนผมเรียนอยู่ชั้นประถมก็ชอบฟังนิทานจากคุณครูนะครับ ผมว่านิทานมีประโยชน์มาก เรื่องราวชวนคิดในตอนแรกจะมีบทสรุปให้ได้เข้าใจมากขึ้นในตอนท้าย เดี๋ยวนี้เด็กใช้จินตนาการน้อยลงไม่คิดเพราะเสพได้เร็วเห็นได้ด้วยตาเลยนะผมว่า สมองส่วนจินตนาการจึงไม่ได้ใช้ ความอ่อนโยนลุ่มลึกจึงน้อยลง แต่รุนแรงและกระด้างมากขึ้น

เห็นนิทานกับการ์ตูนของอาจารย์แล้วผมดีใจที่เด็ก ๆ ที่นั้นจะได้ใช้จินตนาการและผสานกับหลักธรรมไปด้วยครับ

ขอบคุณครับ

2.

krunarong

เมื่อ ศ. 18 พฤษภาคม 2550 @ 10:23

#263808 [ ลบ ]

ขอบคุณคุณสุมิตรชัย มากครับก็กำลังศึกษาครับเพื่อนำมาเล่าเด็ก ๆ บันทึกเรื่อง บ้านกลางสวนแสนรักแสนห่วงใย แสนอบอุนในหัวใจ... ที่คุณสุมิตรชัยเขียนให้ความรู้สึกที่ดีมากครับและจะติดตามอ่านเรื่อย ๆ นะครับ

3.

krunarong

เมื่อ ศ. 18 พฤษภาคม 2550 @ 10:38

#263823 [ ลบ ]

"ช่างไม้พ่อลูก"

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีสองคนพ่อลูกประกอบอาชีพเป็นช่างไม้ หารายได้จากการทำเครื่องมือเครื่องใช้ โต๊ะ ตู้ เตียง ขายเลี้ยงชีพ ไปตามอัตภาพ

ช่างไม้ผู้พ่อได้ถ่ายทอดวิชาช่างให้แก่ลูกชายจนหมดสิ้น ลูกชายจึงมีฝีมือช่างไม้ที่ยอดเยี่ยมมาก แต่มีข้อเสียอยู่อย่างเดียวคือ ช่างไม้ลูกชายคนนี้เป็นคนใจร้อน มุทะลุ แก้ไม่หายสักที

วันหนึ่งขณะที่ช่างไม้สองพ่อลูกทำงานอยู่ด้วยกัน ผู้เป็นพ่อกำลังเลื่อยไม้ ส่วนลูกชายกำลังตอกตะปูอยู่ใกล้ ๆ ปรากฏว่ามีแมลงวันตัวหนึ่งมีเกาะอยู่บนศีรษะอันล้านเลี่ยนของช่างไม้ผู้พ่อ แกรำคาญมากอยากจะเอามือปัดออก แต่ว่าไม่สามารถละมือจากการทำงานได้ จึงบอกให้ลูกชายช่วยจัดการเจ้าแมลงวันให้หน่อย ลูกชายขณะนั้นกำลังใช้ฆ้อนตอกตะปูโป๊กๆ อยู่พอดี พอรู้ว่ามีแมลงวันบังอาจมาเกาะหัวพ่อของตนเท่านั้น ก็คิดโกรธแค้นเจ้าแมลงวันมาก จึงรี่เข้าไปใช้ฆ้อนทุบเจ้าแมลงวันที่เกาะบนหัวพ่อสุดแรงเกิด

ผลก็คือเจ้าแมลงวันตัวนั้นตายไปพร้อมกับช่างไม้ผู้เป็นพ่อที่กระโหลกแตกตายคาที่ตรงนั้นเอง

--------------------------------------------------------------------------------

**นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนเราแม้ว่าจะคิดช่วยเหลือผู้อื่น หรือ ช่วยเหลือสังคม แต่ถ้าใช้วิธีแก้ไขปัญหาด้วยความโกรธเกลียดชัง หรือ ใช้นโยบายที่รุนแรง แม้จะเป็นที่สะใจของคนทั่วไป มีคนเชียร์ มากมาย แต่ผลกระทบข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นตามมา มันจะร้ายแรง จนไม่คาดไม่ถึง ดังตัวอย่างนิทานเรื่องนี้

4.

mr. สุมิตรชัย คำเขาแดง

เมื่อ ศ. 18 พฤษภาคม 2550 @ 11:35

#263891 [ ลบ ]

นิทานเรื่องนี้แม้จะออกแนวโหดสำหรับเด็ก ๆ แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ได้ฟังแล้วอึ้งไปเลยครับ

ศิลปะในการนำเรื่องนิทานมาโยงกับเหตุการณ์จริง หรือว่ามาฉุดความฉุกคิดในการกระทำปัจจุบันได้เป็นสิ่งดีเยี่ยมแยบยลครับ

เหมือนเรื่องราวประมาณว่า มีเด็กเกียจคร้านคนหนึ่งไม่ชอบทำงาน ช่วยพ่อแม่ วันหนึ่งจึงหลงไปอยู่ในที่ ๆ หนึ่ง เด็ก ๆ ที่นั่นขยัน และไม่ยอมรับ เด็กเกียจคร้านเลย ภายหลังเด็กคิดได้และกลับมาขยัน

ทำนองนี้ครูเคยเล่าให้ผมฟังเป็นประจำครับ หลายสิ่งสอนในจินตนาการของเด็ก ๆ เอง และฝังอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ

เรื่องราวดี ๆ ในวันเก่า ๆ ที่จริงยังมีคุณค่ามีประโยชน์อยู่มากมาย แค่ไม่ทิ้งไปเสียหมดเก็บมาปรับปรุงให้เข้ายุคนิดหน่อยจะใช้ได้ดีเลยครับ

ในวงการศึกษาคงมีเรื่องให้ขบคิดมาก ๆ สำหรับการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและการกดดันของยุคสมัยทั้งคนและ ระบบ

ยังไงขอขอบคุณอาจารย์ที่เข้าไปชื่นชมผมในบันทึกนะครับ ความจริงผมก็มือใหม่แถมศึกษาไม่เท่าอาจารย์ณรงค์เลย ดูบล๊อกของอาจารย์เปลี่ยนแปลงสวยงามอยู่เรื่อย ๆ บอกตามตรงผมยังไม่ทราบวิธีเลยครับ รู้ว่ามีคนเขียนบอกไว้เหมือนกันแต่ไม่ได้ลองทำน่ะครับ

ผมว่าอาจารย์ไม่ใช่มือใหม่ซะแล้วครับตอนนี้ ไว้คราวหลังจะขอคำปรึกษาจากอาจารย์นะครับ ขอบคุณครับ

5.

ซันซัน

เมื่อ ส. 19 พฤษภาคม 2550 @ 21:46

#265502 [ ลบ ]

ขอบคุณนะคะ

เป็นนิทานที่ให้ข้อคิดชีวิตดีๆค่ะ

6.

krunarong

เมื่อ อา. 20 พฤษภาคม 2550 @ 18:37

#266199 [ ลบ ]

ขอบคุณครับ คุณสุมิตรชัย และคุณหมอซันซัน ที่มาร่วมพูดคุยและให้ข้อคิดที่ดี ๆ ครับ

อ่านต่ออีกเรื่องมั้ยครับ

หม้อดินใบร้าว

ชายชาวอินเดียคนหนึ่ง ห้วงสองปีที่ผ่านมาผู้คนจะพบเห็นจนชินตาว่าบนบ่าของเขามีหม้อดินใบใหญ่วางอยู่ข้างละใบ

หม้อดินใบหนึ่งมีรอยร้าว

ขณะอีกใบสมบูรณ์สวยงาม ไร้ที่ติหม้อใบสวยสามารถบรรจุน้ำไว้เต็มเปี่ยมนับจากลำธารจนถึงบ้านเจ้านาย ขณะที่อีกใบหนึ่งนั้น เมื่อมาถึงปลายทางกลับเหลือน้ำแค่ครึ่งเดียว เท่ากับว่าชายผู้นี้ขนน้ำได้เที่ยวละหม้อครึ่งอยู่ทุกครั้ง แน่ล่ะ...หม้อดินใบสวยย่อมภาคภูมิใจในตนเองที่ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ครบถ้วนส่วนหม้อดินใบร้าว นอกจากอดไม่ได้ที่จะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในความไม่สมประกอบของตนเองแล้ว มันยังรู้สึกผิดกับการทำหน้าที่ได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยอีกด้วย หลังจากสองปีเต็มที่แบกความทุกข์ระทมขมขื่นนั้นเอาไว้ วันหนึ่ง มันจึงตัดสินใจเอ่ยกับคนหาบน้ำตรงลำธารว่า

"ฉันรู้สึกละอายใจเหลือเกิน..ฉันอยากขอโทษท่าน.. ตลอดสองปีมานี้ ฉันทำงานให้ท่านได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น

เนื่องจากเจ้ารอยร้าวบนตัวฉันมันทำให้น้ำรั่วไหลไปตลอดทาง" เมื่อฟังเช่นนั้นแล้ว คนขนน้ำก็พลอยรู้สึกเสียใจไปด้วย และแล้วเขาก็พูดว่า "เอาล่ะ..ระหว่างทางที่เราจะเดินกลับไปบ้านเจ้านาย

ฉันอยากให้เธอสังเกตดอกไม้สวยๆข้างทางเดินสักหน่อย เธอไม่ได้สังเกตหรอกหรือว่า ทำไมดอกไม้ป่าเหล่านั้นถึงได้งอกงามเฉพาะฝั่งที่ฉันแบกเธอเท่านั้น ทำไมมันไม่ขึ้นอีกฟากหนึ่งด้วยล่ะ.. นั่นเป็นเพราะฉันได้ตระหนักในข้อจำกัดของเธอ จึงอาศัยเงื่อนไขนี้เพาะเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ป่าตรงทางเดินฝั่งที่ฉันแบกเธอเสมอมา และทุกๆวันขณะที่เราเดินกลับบ้าน เธอเองก็ได้ช่วยฉันรดน้ำให้มัน..แล้วในสองปีนี้ ฉันก็ได้เด็ดดอกไม้สวยๆนี้ไปปักแจกันให้เจ้านายของเราด้วย นี่ถ้าหากไม่มีเธอแล้วล่ะก็

เจ้านายของเราคงไม่มีโอกาสได้ดอกไม้ป่าอันแสนสวยงาม ที่ผลิสะพรั่งอยู่ระหว่างทางมาประดับบ้านเป็นแน่"

ปล.เราเองมีคุณค่าดีพอ ถ้าไม่เปรียบเทียบคนอื่นมากเกินไป ถ้าคิดว่าสิ่งไหนมันไม่ดีก็พยายามแก้ไขทำให้มันดีขึ้น

ผลลัพธ์ของการกระทำไม่ใช่คำตอบแห่งชัยชนะของชีวิต จุดมุ่งหมายและความตั้งใจจริงของเราต่างหากคือคำตอบที่แท้จริง "as good as it gets"

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.budpage.com ครับ

7.

ซันซัน

เมื่อ อา. 20 พฤษภาคม 2550 @ 22:38

#266363 [ ลบ ]

เป็นนิทานที่ให้ข้อคิดดีๆจังค่ะ

ทุกสิ่งล้วนมีคุณค่าในตัวเองจริงๆค่ะ

ขึ้นอยู่กับว่าเห็นหรือเปล่าค่ะ

และ ขึ้นกับมองมุมไหน

เห็นด้วยค่ะ การเปรียบเทียบกับผู้อื่น รังแต่ทำให้รู้สึกแย่กับตัวเอง

เพราะ มองเห็นเขามีดี ในส่วนที่เราไม่มี

แต่ถ้ามองโดยใจเป็นธรรมแล้ว

เรามีดีอยู่อีกหลายอย่าง ที่คนอื่นเขาก็ไม่มีในแบบเราค่ะ

ปัญหาคือเราไม่ได้ใส่ใจคุณค่าที่อยู่ต่างหาก

ไม่ใช่ไม่มีค่าสักหน่อย

ขอบคุณมากนะคะ สำหรับนิทานดีค่ะ

8.

krunarong

เมื่อ จ. 21 พฤษภาคม 2550 @ 16:41

#266957 [ ลบ ]

ขอบคุณครับ คุณหมอซันซัน ที่มาร่วมพูดคุยและให้แนวคิดที่ดี ๆ ครับ อย่างที่คุณซันซันพูดแหละครับ ทุกสิ่งล้วนมีคุณค่าในตัวเอง ขึ้นอยู่มองมุมของเราครับ

9.

คน [IP: 117.47.166.156]

เมื่อ ศ. 29 พฤษภาคม 2552 @ 22:04

#1318365 [ ลบ ]

น่าจะมีชื่อหนังสือผู้แต่งชื่อสำนักพิมพ์ปีที่พิมพ์

10.

...... [IP: 61.90.93.165]

เมื่อ พฤ. 20 ส.ค. 2552 @ 16:47

#1495295 [ ลบ ]

มีอยู่วันหนึ่งตากับลานอยู่2คน มะตาจะเลานิทาไห้ มีอยู่วันหนึ่งตากับลานอยู่2คน มะตาจะเลานิทาไห้ มีอยู่วันหนึ่งตากับลานอยู่2คน มะตาจะเลานิทาไห้

11.

somika [IP: 210.86.208.185]

เมื่อ อ. 03 พ.ย. 2552 @ 19:28

#1652571 [ ลบ ]

ขอบคุณมากนะคะสำหรับนิทานดีๆ เราสามารถเอาไปทำการบ้านได้ตั้งเยอะแหนะ ^^"

ถ้าใครมีนิทานดีๆ สามารถเอามาเล่าสู่กันฟังได้นะคะ อิๆ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ.......

12.

MAY~ [IP: 58.8.247.86]

เมื่อ พ. 09 ธ.ค. 2552 @ 18:19

#1723947 [ ลบ ]

- - สนุกดีนะ5555+

ดีค่ะก้อสนุกดีไปอีเเบบ

ขอขอบคุณสำหรับนิทานธรรมะดีๆมีคุณค่ามากมาย

มันดีต่อสังคมมากเลย

ขอบคุณที่มีนิทานที่ให้ทั้งความคิดควมสนุกมากมาย 55555555+

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท