แต่ก่อนตอนที่ผมอยู่กรุงเทพ หลังจากสอนหนังสือแล้วผมเดินไปกินข้าวที่สีลม วันหนึ่งนั่งรถไฟฟ้า เจอสาวผิวคล้ำแต่งตัวสุดเปรี้ยวเดินควงฝรั่ง พูดอังกฤษไวยังกะจรวด ผมก็ไม่กล้าจ้องเธอตรงๆ แต่พยายามแอบขโมยฟังว่าเขาพูดอะไรกัน ก็พบว่าเธอสื่อสารภาษาอังกฤษได้ไม่ติดขัด ( มี fluency) จะไม่เหมือนเด็กไทยที่จะต้องคิดก่อนบางทีฝรั่งเดินหนีเวลาถามทาง แต่ภาษาจะไม่ค่อยถูกต้องนัก ( accuracy ไม่ค่อยดี) แต่มันเวิร์คเพราะฝรั่งรู้เรื่องและโต้ตอบได้ และดูเธอมั่นใจและภูมิใจที่ทุกคนมองเธอ ในใจก็รู้สึกงงกับชีวิตมาก เด็กที่ผมสอนนี่เขาเรียนมาตั้งแต่ประถม มัธยม มหาวิทยาลัย ยังทำไม่ได้ถึงครึ่งของ สาวคนนี้เลย ลองมานั่งคิดว่า สถานการณ์การเรียนภาษาของเด็กตรงข้ามกับเธอโดยสิ้นเชิง คือ หนึ่ง ไม่อยู่ในสถานการณ์ที่ใช้งาน เมื่อเข้าไปในห้องเรียนทุกคนจะนั่งฟังครู ไม่ค่อยโต้ตอบ (ครูพูดอังกฤษ อาจจะอาย หรือว่ากลัวเพื่อนล้อ หรือฟังไม่รู้เรื่อง ) ครูเลยพูดสอนตัวเองอยู่คนเดียวกับหน้าม้าสองสามคนข้างหน้า สอง ภาษาที่ใช้ในห้อง นักเรียนไม่ค่อยได้เรียนเช่น นักเรียนจะถามครูว่าให้ส่งการบ้านเมื่อไหร่ หรือว่า คำสั่งต่างๆที่ครูสั่งก็ไม่เข้าใจ สุดท้ายก็พูดภาษาไทย และภาษาพวกนี้ไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวัน ทุกคนเรียนจึงรู้สึกอึดอัด กลัวผิด ภาวนาว่าเมื่อไหร่จะหมดชั่วโมง เสียที เปรียบเทียบกับเธอรู้สึกอิสระ กล้าผิด สนุกสนานที่ได้พูดผิดๆถูกๆ ฝรั่งก็ขยันแก้จนถูก หมดโอกาสพูดไทยเลย เหมือนต้องวิ่งด้วยตัวเอง เดาว่าเธอคงไม่ได้เรียนในชั้นเรียน ผมคิดกับตัวเองว่าทำอย่างไรเด็กไทยจะเข้าถึงบริบทการใช้ภาษาจริงๆเสียที????
ภาษาคือทักษะเหมือนการว่ายน้ำต้องลงไปว่ายถึงว่ายเป็น
การเรียนการสอนภาษาของเด็กบ้านเรา เป็นเหมือนการสื่อสารทางเดียว
คือครูพูดอยู่คนเดียว
ถึงเด็กบางคนเข้าใจในสิ่งที่ครูพูด แต่ไม่กล้าที่จะสื่อออกมา ที่เรียนไปก็เท่านั้น
งั้นจึงควรสร้างบรรยากาศรอบตัวให้เด็กเชื่อมั่นในตัวเอง กล้าที่จะสื่อออกมาไม่ว่าผิดหรือถูก
ให้ภาษาอังกฤษเข้ามามีบทบาทในชีวตประจำวัน
อาจสร้างไอดอลใกล้ตัวเด็กที่สามารถสื่อสารอังกฤษได้ให้กลายเป็นเรื่องสนุก จนเด็กอยากทำ อยากเป็นตาม เพราะเด็กในปัจจุบัน ค่อนข้างยึดติดกับแฟชั่น
ตอบคุณ JNG
คุณทำให้ผมคิดออกว่าทำไมตอนนี้เด็กไทยบ้าเรียนภาษาเกาหลี คิดว่าน่าจะได้ผลครับในแง่การสร้างแรงจูงใจช่วงต้นๆ แต่ถ้าเขาไม่มีพื้นที่ในการใช้ภาษามันก็ยาก อาจารย์ที่สอนผมท่านเคยติดต่อกับมหาวิทยาลัยต่างประเทศให้มีการทำpen-pal ระหว่างเด็กไทยกับเด็กฝรั่ง แต่ไม่รู้ว่าเวิร์คหรือเปล่า
สวัสดีค่ะคุณฉัตรชัย
ดิฉันรีบล็อกอินตรงดิ่งเข้ามาบอกว่าชอบบันทึกนี้มากค่ะ ถูกใจที่สุดเลย
ภาษาคือทักษะเหมือนการว่ายน้ำ ต้องลงไปว่ายถึงว่ายเป็น
แปลว่าต้องยอมจมบุ๋งๆ กลืนน้ำไปห้าอึก สำลักจนแสบจมูกอีกสิบสองที แล้วตะเกียกตะกายจนทรงตัว ลอยตัวในน้ำได้ จึงจะเกิดทักษะ เพราะทักษะ แปลเป็นอย่างยิ่งว่า "ต้องเจอของจริง" และต้องลองผิดลองถูก ด้วยปริบทจำเพาะ ด้วยตัวของตัวเองจริงๆ อย่างเป็นธรรมชาติ แบบว่าเอาตัวเข้าแลก
ธรรมชาติ แปลว่า บางทีก็คาดเดาล่วงหน้าไม่ได้ ต้องวัดดวงเอา ผิดพลาดก็แก้ไขเอาเฉพาะหน้าเดี๋ยวนั้น ผิดหลายๆทีเข้า เดี๋ยวก็รู้ว่าที่ถูกเป็นยังไง สนุกชะมัดเลย
เหมือนที่คุณฉัตรชัยบอกเลยค่ะ "อิสระ กล้าผิด สนุกสนานที่ได้พูดผิดๆถูกๆ " ชอบจัง....
นึกแล้วขำตัวเองอะค่ะ ดิฉันเจอฝรั่งเป็นต้องเปิดแน่บ ด้วยสกอร์หกต่อศูนย์ เพราะกลัวผิด
นึกขำอีกที ที่โรงเรียนสอนให้ทำเฉพาะที่ถูก และสอนให้ทำให้ถูกอยู่เสมอ เลยขาด "ทักษะกล้าผิด" และติด "ทักษะกล้าถูก" เลยมี "สูตรทำถูกสำเร็จรูป" มาให้เรียนเป็นสูตรสำเร็จ เกือบทุกวิชาเลย อิอิ
พูดแล้วเข้าตัวอะ....กลับก่อนนะคะ วันหลังจะมาเยี่ยมใหม่ อ้อ...แถมด้วยอีกนิดว่าที่คุณฉัตรชัยไปตอบในบันทึกคำคมฝรั่ง ของพี่โอ๋-อโณ ก็ชอบมากอีกแล้วอะค่ะ คิดได้ไงไม่รู้ละ กลับขั้วไปเลย .....ชอบ !
ดอกไม้ทะเล เมื่อ พ. |
ถ้าสมมติประเทศไทยมีสระให้เราว่ายก็คงดี สระดีๆ ก็โรงเรียนอินเตอร์ หรือไม่ก็โรงเรียนสอนภาษาที่ราคาแพง น่าจะมีที่ทุกคนมาได้เจอกับเจ้าของภาษาแต่ราคาไม่แพง นะครับ พูดเรื่องพูดอังกฤษไม่ได้นี่ผมเป็นแบบ อาจารย์ชื่อดังที่ไปจมบุ๋งกับฝรั่งในโฆษณานั้นแหละครับ แต่อาศัยว่ากลัวไม่จบจึงต้องหน้าด้านพูดผิด ให้คนเขาหัวเราะ หัวเราะทั้งห้องเลย แต่ไม่กดดันคิดว่าถ้าเราไม่มั่ว เราคงไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย เรื่องกล้าผิดกล้าถูกขอบอกตามตรงว่าทุกคนมันมีผิด ฝรั่งเขานี่เรื่องเขียนนี่จนต้องบอกว่า writing is rewriting ผมเขียนบางทีสะกดผิด เช่น peaceful ผมเขียน peacful ขนาดเรารู้บางที post ผิด ก็แก้ไม่ได้เลย ขอบคุณนะครับที่แวะมาให้ข้อคิดเห็นและประสบการณ์ที่ดี
เรื่อง การ สั่งเด็ก ( Direct ) นี้เป็นเรื่องที่ยากนะครับต้องเตรียมเด็กให้รู้ คำสั่งง่ายๆ เช่น ส่งการบ้าน ( hand in your homework) นอกจาก Repeat after me หรือ แม้แต่คำถามง่ายๆ เช่น เสร็จยัง Done?
เรียนมาผมก็ได้ใช้แค่ช่วงฝึกสอน พอสอนจริงไม่ได้มาพิถีพิถัน อย่างนี้หรอกครับต้องรีบอัดข้อสอบเพราะเวลาไม่พอ กลัวเด็กตก ครูก็แย่ไปด้วย แต่มันเป็นสิ่งที่ต้องทำ ถ้าอยากให้เด็กโต้ตอบเราในชั้น เพราะถ้าเด็กโต้ตอบได้หมายถึงประสบความสำเร็จสูงสุดในการสอน เพราะที่เรียนตั้งมากมายเพื่อให้เด็กสื่อสารได้โดยเฉพาะการพูด มันไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่นาทีเดียวที่เด็กเรียนภาษาอังกฤษ ตั้งแต่ป.5 ถึงปี 4 12 ปี ใช้เวลาไปกี่ชั่วโมงแต่พูดไม่ได้ แล้วฟัง อ่าน เขียน คงไม่ต้องพูดถึง พูดถึงเกาหลีนะครับฉลาดมาก สร้างเมืองหนึ่งจ้างฝรั่งไปอยู่ทุกคนพูดอังกฤษหมดเลย นักเรียนที่เข้าไปนี้ เหมือนถูกเตะลงสระแต่ใครไม่รอดก็มีห่วงยางชูชีพให้ (มีคนช่วยบอกบท ส่วนมากเขา train ก่อน) (ขออภัยนะครับที่พูดเอามันไปหน่อย) Eng camp นี่คงไม่ถี่นัก ผมคิดว่าน่าจะมีชั่วโมงที่ให้เด็กนำเสนอผลงาน เรื่องราวที่เขาค้นคว้า แล้วให้ฝรั่งและครูช่วยกันถามในสิ่งที่เขาศึกษามา แต่ก็ต้อง train เขาก่อนนะครับเกี่ยวกับการ present
ดีใจด้วยครับที่ได้โอกาสที่ดี อยากให้อาจารย์รึบกอบโกยความรู้จากฝรั่งให้คุ้มกับที่เสียเงินจ้างมาแพงๆครับ
สวัสดีค่ะ
เห็นด้วยกับคุณฉัตรชัย ในเรื่องพูด ตัวเองก็ไม่กลัวเรื่องไวยากรณ์อะไรมากมาย พูดๆไป เดี๋ยวก็คล่อง ผิดๆถูกๆไปก่อน แต่ดิฉันจะอ่านหนังสือภาษาอังกฤษมากนิด เลยพอไปได้และเรียนอักษรศาสตร์ด้วยค่ะ
ไม่ต้องไปกลัวผิดอะไรมากมาย ไม่งั้น ก็ไม่คล่องเสียที
แต่ถ้าเป็ภาษาเขียน ต้องถูกไวยากรณ์ค่ะ ไม่งั้น คุณภาพงานจะไม่ได้
อยากให้เด็กไทยเราคล่องภาษาแบบใด..เก่งเขียนแต่พูดไม่ได้หรือว่าเก่งพูดแต่เขียนไม่Work
ในความเห็นและประสบการณ์ ของดิฉัน ต้องเก่งทั้งคู่ ถ้า เราอยู่ในระดับ นักศึกษาชั้นสูงๆ ไม่ใช่เด็กๆ หรือ เราเป็นคนทำงานแล้ว
ถ้า เราอยู่ในวงการทำงานนานาชาติ เวลา เราติดต่องานที่เป็นลายลักษณ์อักษรไปแบบไม่ถูกต้อง เราจะถูกประเมินระดับการศึกษา ซึ่งจะทำให้เราfeel embarrassed ค่ะ
เด็กไทยต้องพยายามให้คล่องทั้ง 2 แบบค่ะ
สวัสดีครับ
seangja เมื่อ ศ. 18 |
เรามาดู ลำดับความสำคัญดีไหมครับ การเขียนหรือการพูดสำคัญ เนื่องจากภาษาคือการสื่อสาร ถ้าเราตกอยู่ท่ามกลางฝรั่ง เราต้องเอาตัวรอดนี่เราจำเป็นต้องพูดสั่งอาหาร ถามทางก่อน แต่ถ้าอยู่เมืองไทย งานไม่เจอฝรั่งเลย ทำเอกสารที่มันซ้ำๆมีฟอร์มให้ก็ต้องพอเขียนให้ได้ก็คงพอ แต่ถ้าต้องเขียนโต้ตอบ มันก็แล้วแต่ว่าเป็นทางการอาจมีฟอร์มอยู่ หรือถ้าโต้ตอบ e mail แบบส่วนตัว(หาแฟนฝรั่ง)ก็ต้องพูดได้แล้วนำไปเขียน ถ้าเป็นเขียนตำรา ต้องเก่งมาก (มีฝรั่งช่วยตรวจด้วย) หรือแม่บ้านนี่ก็พูดอย่างเดียว มันอยู่ที่ว่า เรา position ตัวเองไปอยู่จุดไหน ที่ยากทีสุดก็คือพวกแต่ง speech ให้นายก ก็ลองดูจุดมุ่งหมายแล้วก็พัฒนาไปจุดนั้น การสอนอันดับแรกเขาจึงมี need analysis คือการวิเคราะห์ความจำเป็นของการใช้ภาษาจริงๆของผู้เรียน แล้วถึงวางเนื้อหาการสอนโดยส่วนตัวคิดว่าพูดสำคัญมาก เพราะมันเป็นสิ่งที่จับต้องได้จริงใช้งานได้อย่างแบบตอนนี้ เดี๋ยวนี้ ลองคิดดูคงอายแย่เลยเรียนภาษามาได้ยังไงพูดกับฝรั่งไม่รู้เรื่องใช่ไหม แต่การเขียนเราก็อาศัยฝรั่งช่วยบ้างถ้าเป็นสิ่งที่จะเป็นวิชาการหรือทางการเพราะไม่มีใครที่มันจะเป๊ะเท่าฝรั่งหรอกครับ(ฝรั่งยังผิดเลย) เราก็ต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ แต่สิ่งที่ตอนนี้เราจำเป็นต้องใช้ทำอะไร
อันนี้น่าจะสำคัญที่สุด
สวัสดีครับ
sasinanda |
"ฟัง พูด อ่าน เขียน" สำคัญหมด แต่ว่าพอไปเรียน/สอนกันจริงๆ คงไม่ใช่ทุกคนที่ทำได้ดีหมดทุกอย่าง บางทีพูดไปแล้วน่าอาย ดูไม่มีการศึกษา ก็ยังดีกว่าสื่อสารไม่ได้เลยนะผมว่า ไม่อยากให้เป็นเหมือนสำนวนโลภมากลาภหายตั้งเป้าสูงเกินไปแล้ว กลับไม่ได้อะไรเลย
แต่ถ้าได้เยอะๆก็ดีเหมือนกัน ก็ต้องหาทางให้มีคน ได้ความรู้เยอะๆด้วย
สวัสดีครับ
บ่าววีร์ เมื่อ ศ. 18 พฤษภาคม |
สังเกตุไหมครับคนที่พูดได้คือ คนที่โต้ตอบได้ไม่ใช่แค่นาที แต่นานจนยอมรับว่าเออ เขาพูดได้แฮะ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะพูดถูกสำนวน หรือภาษาที่ใช้จริงๆ ท่านเรียกว่ามีทักษะในการสื่อสาร ซึ่งไม่ใช่พูดได้อย่างเดียวแต่ฟังได้ หรือแม้แต่เดาอาการประกอบได้ ถ้าเป็น broken English ท่านก็จะตำหนิติเตียน เพราะท่านขอว่านิดนึงนะ ให้มีระดับหน่อย จะไม่ได้มีฝรั่งแอบอมยิ้ม แต่แค่ฝรั่งรู้เรื่องแล้วก็หัวเราะกันไปมาไม่เดินหนีไปซะก่อนนี่ก็เป็นที่ยอมรับได้ว่าพอตัวเหมือนกัน เพราะไอ้จุดที่หัวเราะกันไปกันมาพุดแล้วฝรั่งเข้าใจ นี่คือลอยน้ำได้แต่ยังว่ายไม่ไป คนที่ฝึกว่ายถ้าลอยไม่ได้นี่มันก็ต้องเริ่มใหม่อยู่อย่างนั้นแหละครับ
สวัดดีค่ะ ฉันเห็นด้วยกับความคิดของคุณค่ะ
ฉันพยายามที่จะอ่านเขียนคนเดียวแต่ว่ามันทำให้ฉันได้หน้าลืมหลังฉันพยายามจะวายให้ถึงฝั่งแต่ว่ามันก็ไมถึงสักทีฉันเหนื่อยแต่ทำไมไม่รู้ฉันชอบภาษาอังกฤษจังเวลาเห็นเขาพูดอังกฤษได้เราก็น้อยใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมตัวเองไมได้แบบนั้นบ้างทั้งที่ตัวเองอยากพูดอ่านเขียนเป็นบ้างนะค่ะมีวิธีที่จะทำยังไงบ้างค่ะ
ฉันเคยเรียนพิเศษเหมือนกันแต่ว่ามันเป็นพวกหลักการเกินไปบางครั้งอ่านอังกฤษให้เราฟังทั้งที่เราไม่รู้เรื่องเลยและก็ให้เราจดคำแปลที่อาจารย์แปลออกมาให้ก็แค่นั้นมันทำให้เวลาการสอนที่น่าเบื่อจบลงอย่างไรความหมายและมันทำให้ฉันเบื่อและง่วงนอนในเวลาที่อาจารย์สอนมันทำให้ฉันไม่รู้เรื่อง
ฉันอยู่ ปวช. 3 แล้ว แต่ก็ยังอ่านเขียนแปลไม่ข้องเลยบางครั้งอ่านได้แต่แปลไม่ออกค่ะแต่ส่วนมากฉันไม่รู้เรื่องมากกว่า
(ช่วยแสดงความคิดเห็นให้ดูหน่อยนะค่ะจะรอค่ะ)
ขอบคุณค่ะที่รับความในใจ แนท
เราจะกลับไป จุดเริ่มต้น ถ้าผมบอกว่าทำไมคุณต้องกินข้าว นั้นก็เพราะอาหารได้หล่อเลี้ยงชีวิต แล้วภาษาล่ะครับคืออะไร คือ ตัวกลางที่จะทำให้คุณสื่อสารกับคนอื่นได้ ถ้าคุณสังเกตุดีๆ สิ่งที่คุณเรียนในห้องเรียนไม่ได้ตอบความสำคัญของภาษาตามความเป็นจริง ที่คุณเรียนมาทั้งหมดมันไม่มีการสื่อสารอย่างแท้จริงเลย มีแต่การเลียนแบบการสื่อสาร ทำให้คุณพูดหรือเขียนออกมาด้วยตัวเองและเป็นอิสระไม่ได้ รวมถึงการฟังและอ่านที่ไม่ใช่ของจริง ของจริงคืออะไร ก็คือการสนทนาจริงๆๆ เหมือนเราพูดภาษาไทย ทำไมเราพูดภาษาไทยได้ก่อนเข้าป. 1 เพราะ เรามีการเรียนรู้อยู่ตลอด เราเรียกการเรียนแบบนี้ว่า acquisition คือได้เข้ามาผ่านบริบท อย่างเช่นถ้าคุณไปภาคเหนือหนึ่งปีคุณจะพูดเหนือได้โดยไม่มีใครสอนคุณ นี่คือของจริง แต่ในห้องเรียนคุณโดนหลอกไม่มีการสื่อสารจริงๆในห้องเรียนภาษาอังกฤษของระบบไทย เพราะ หนึ่งอาจารย์จะพูดไทย ในส่วนที่จริงๆต้องสื่อสารภาษาอังกฤษ เช่น สั่งการบ้าน นักเรียนก็จะถามภาษาอังกฤษไม่ได้ต้องพูดไทย แต่ไปเน้นบทสนทนาซึ่งมันไม่ใช่ของจริง ภาษาไม่ใช่การท่องจำแต่เป็นการสร้างด้วยตัวเอง ในห้องเรียนปัญหาที่ฝรั่งมาสอนแล้วเราไม่ได้เพราะฝรั่งใช้ระดับภาษาที่สูงเกินไปบางทีคุณฟังไม่ออก คุณก็นั่งนิ่งเหมือนฟังข่าว cnn และไม่ได้อะไร นี่คือปัญหาของระบบการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในไทย แล้วจะแก้ปัญหาอย่างไร คุณต้องหาบริบทของการใช้อย่างแท้จริง ต้องเจอฝรั่งให้ได้โดยไม่ใช่ที่ห้องเรียน เพราะหนึ่งมันแพง สองกว่าจะได้ผลก็นาน แล้ว พูด และฟัง สื่อสารกับเขาแบบพูดคุยเรื่องธรรมดา ตอนแรกจะลำบากมาก แต่คุณต้องอดทน สักระยะคุณจะเริ่มมีทักษะในการสื่อสารกับเขา มันเป็นภาษาง่ายๆ แต่จะเป็นพื้นฐานที่ดีต่อไป และทำให้การเรียนภาษาของคุณ เห็นผล เมื่อคุณเริ่มที่พอจะฟังและพูดคุยได้บ้างค่อยไปเรียนคอร์สที่ใช้ฝรั่งและทดลองเรียนดูเลือกคอร์สที่คุณชอบทีนี้คุณจะไปได้ดีและเร็วเพราะคุณใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร ซึ่งต่างจากการเรียนแบบเดิมที่ใช้ภาษาไทยสื่อสารเหมือนอยู่เมืองนอก คุณต้องเจาะจงสิ่งที่คุณสนใจเช่นคุณจะพัฒนาการสื่อสารเพื่อการท่องเที่ยว หรือ เน้นการเขียน หรืออะไรก็แล้วแต่ มันจะยิ่งทำให้คุณไปได้ไกลมาก ดีกว่าเรียนแบบไม่มีเป้าหมาย แล้วคุณจะหาฝรั่งได้ไง คุณควรไปที่โบสถ์ฝรั่ง แต่เขาจะสอนศาสนาคุณด้วยต้องคำนึงถึงจุดนี้ ถ้ามีเพื่อนฝรั่งแลกเปลี่ยนภาษาจะดีมากเอาที่ไว้ใจได้
ผมอยู่จังหวัดนนท์ครับ ใครอยู่นนท์ ปทุม หรือ กทม.มีเพื่อนที่ทำงานหรือคนรู้จักเป็นชาวต่างชาติบ้าง ถ้าเขายอมสละเวลามาพูดคุยกับเรา สักเดือนละครั้ง ผมว่าจะวิเศษมาก อาจช่วยกันออกเงินซื้อของมาทำกินกัน แล้วสังสรรค์กัน หรืออาจเป็นการเล่นเกม ตามสวนสาธารณะต่าง ๆ เพราะจุคนได้เยอะ ไม่เสียค่าพื้นที่ ไม่ต้องไปจองรีสอร์ทหรือจัดค่ายภาษาอังกฤษอะไร ส่วนเรื่องกิจกรรม หรือ เกมที่จะไปทำกัน ก็มาช่วย ๆ กันคิด ให้เราเอาตัวไปเจอกับฝรั่งจริง ๆ พูดคุยกะเขาแบบอิสระเหมือนอย่างที่คุณฉัตรชัยบอก พูด และฟังในสถานการณ์จริง ไม่ใช่ท่องบทสนทนาไปพูด
เช่น ไปเจอกันที่สวนลุม เล่นเกม สัมภาษณ์ พูดคุยกะเขา เราเล่าเรื่องของเรา เขาเล่าเรื่องเขา และถามตอบกันในสถานการณ์จริง ๆ ตรงนั้นเลย ชวนฝรั่งเล่นเกม การละเล่นของไทยมั่งก็ได้
ถ้าใครมีเพื่อนที่ทำงาน หรือคนรู้จัก ลองถาม ๆ เขาดูซิว่าวันเสาร์ หรือ อาทิตย์ เขาอยากสังสรรค์ พบปะ แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับคนไทยหรือเปล่า ฝรั่งบางคนเขาก็ต้องการมีเพื่อนมาก ๆ รู้จักคนเยอะ ๆ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ มากกว่าที่จะมุ่งไปที่การสอนภาษาเอาเงินอย่างเดียว
หรือใครอยู่ที่โรงเรียน ลองแย๊บ ๆ เพื่อนครูฝรั่งที่โรงเรียนดู ขอเวลาเขาสักอาทิตย์ละวัน เดือนละครั้งสองครั้งก็พอ มาช่วยกันพัฒนาภาษาอังกฤษให้คนในชุมชน
ใครเห็นด้วย อยากทำตรงนี้ เพื่อช่วยพัฒนาภาษาอังกฤษให้คนไทย มีเพื่อน มีคนรู้จักอยู่ ขอให้บอกนะครับ หวังว่า เราคงได้มีโอกาสได้ทำสิ่งดี ๆ ให้สังคมบ้าง ใครมีเพื่อน มีคนรู้จักเป็นคนต่างชาติอยู่แล้ว อย่าเก็บไว้คนเดียว มาช่วย ๆ กันครับ
จากผู้รอคอยความหวัง ที่จะเรียนภาษานอกห้องเรียน
B
ปล. สวนสาธารณะในกรุงเทพและปริมณฑลมีมากมาย เน้นประหยัด เพื่อจัดได้บ่อยครั้ง ดีกว่าจัดค่ายไปพักต่างจังหวัดเสียเงินเยอะ ๆ แต่ไปได้ไม่บ่อย เพราะยิ่งทำบ่อย ทำถี่ ก็ยิ่งได้ผล ผมสมมติว่า ในกรุงเทพ มี 1 คน นนทบุรี มี 1 คน แต่ละคนมาแค่เดือนละครั้ง เราก็ได้เดือนละ 2 ครั้งแล้ว และถ้ามีฝรั่งใจดีมาสัก 3-4 คน ลองคิดดูซิว่า ทุกอาทิตย์ เราจะได้ไปพูดคุย ในบรรยากาศเป็นกันเองกับฝรั่งตัวเป็น ๆ ยิ่งเพิ่มความตื่นเต้นและกระตือรือร้น ที่จะขวนขวายหาศัพท์หาประโยคไปพูดกะเขาใหญ่เลย
ผมอยากให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นจริง ๆ หวังว่าฝันของผมคงได้เป็นจริงนะครับ ใครช่วยได้อย่าลืมบอกชื่อ ที่อยู่ อีเมล์ติดต่อไว้นะครับ เราจะได้ช่วยกันสร้างสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นให้ได้
เป็นกำลังใจให้ครับ เชื่อไหมครับเมื่อก่อนผมเรียนภาษาอังกฤษ ไม่รู้เรื่องรู้ราวกับเขาว่าเขาเรียนอย่างไร ไปเข้าสถาบันสอนภาษาต่างๆ เขาก็ใช้ฝรั่งสอนนะครับ เอ แต่ทำไมเราคุยกับเขาไม่ได้ บางทีฟังเขาไม่ออก เหมือนเรียนไม่พอสักที ให้เล่นแต่เกม หรือไม่ก็ทำงานกลุ่มหรือ พูดกับเพื่อนที่เป็นคนไทย
พอเรียนจบ ป โท ถึงได้รู้ว่่าถูกหลอก เพราะ class หนึงคนมันเยอะ โอกาสพูดกับฝรั่งได้สักกี่ประโยคในห้าสิบนาที แถมภาษาในหนังสือ เป็นภาษาที่บางครั้งมัน เนื่อหามันไม่ใช่สิ่งที่เราจำเป็นต้องใช้ เชื่อไหมครับ เด็กบางคนเรียนระดับมหาลัยแล้วผมถามว่าจะถามฝรั่งว่ากินข้าวหรือยัง หรือว่า ไปไหนมา แม้แต่ รู้สึกไม่สบายหรือเปล่ายังตอบไม่ได้เลย แต่ เรียน course book ระดับ intermediate นะ มันเหมือนกับเอาเด็กอนุบาลมาเรียน calculas แล้วมหาลัยแก้ปัญหาอย่างไร ใช้สูตร s+have to+ v1 ....+so+s+will+....
สูตรเป็นประโยคเพื่อให้นักเรียนสอบผ่าน
กลับมาที่ฝรั่งแบบนอกห้องเรียนเพื่อแก้ปัญหาที่คนไทยประสบอยู่ตอนนี้คือ ไม่กล้าพูด ไม่มีแรงจูงใจที่จะเรียน เพราะเมื่อคุณสื่อสารกับฝรั่งได้เล็กๆน้อยๆในตอนเริ่มต้นจะทำให้เกิดแรงจูงใจที่จะพูดให้มากขึ้น
แต่ปัญหาคือจะหาฝรั่งยังไง แล้วฝรั่งจะสนใจเรานานๆได้อย่างไร นี่เป็นเหตุผลว่า แฟนฝรั่ง
จึงได้เปรียบ ผมเคยมีประสบการณ์เรียนจีน เราก็ set กันเป็นกลุ่มนี่แหละครับ แต่ปัญหาคือ ถ้าแต่ละคนรู้สึกว่าไม่ได้อะไร มันจะ fail ฝรั่งก็ต้องการอะไรเหมือนกัน มันอาจจะไม่ใช่เงิน ถ้า set กิจกรรมต้องมันเป็นสิ่งที่ทุกคนสนใจจริงและพิเศษ เขาถึงจะมีแรงจูงใจนานๆ ไม่ต้อง
แบบเรียนภาษาชัดเจนอาจกิจกรรมอื่นๆ ถ้ามันสนุกผ่ิอนคลาย หรือได้ความสุขทางใจ
ตอนผมเรียนภาษาจีน ผมเลือกแลกเปลี่ยนภาษากับคนๆเดียว เพราะผมไม่ชอบคนมาก เป็นคนที่เขาไม่ใช่แค่ต้องการรู้ภาษาไทยจแต่มันจำเป็นสำหรับประกอบอาชีพของเขา
จริงๆ แล้ว set เวลาเรียนแน่นอน ผมชอบอะไรที่เป็นระบบแบบแผนแน่นอน ไม่ต้องรอใคร ผมจะเลือกคนที่มีอายุ และเป็นผู้ใหญ่ เพราะส่วนมากจะไม่สายหรือไม่รับผิดชอบ แล้วคุยกันวางเป้าหมายชัดเจน ว่าเราจะเดินไปอย่างไรวิธีสอนที่ทำให้คุณพูดได้ผมก็ได้เป็นอย่างไร ครับ
เข้ามาอ่านหลายหัวข้อที่อาจารย์เขียน ตรงใจมากเลยมีคว่มรู้มากจะลองไปปรับใช้ค่ะ
english is easy to learn and to speak
ไม่ยากครับหากตั้งใจเรียน
You need not to pay attention but a must for intrinsic motivation.