แจ่มแจ้งและชัดเจนครับ
ใจเราเมื่อมันอยากจะได้ มันก็หาเหตุผลมาได้ร้อยแปด ชนะอะไรก็ชนะได้ แต่ชนะใจนี่สิยากเย็น
ขอบคุณครับที่เอามาให้อ่าน
ขอบคุณครับ มาอ่านร่วมกันอีกเรื่องนะครับ
น้ำบำรุงใจ เขียนโดย รินใจ |
น้ำเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับร่างกายของเรา ไม่มีอวัยวะส่วนใดที่ไม่ต้องการน้ำ ยิ่งสมองด้วยแล้ว มีน้ำอยู่เกือบ ๘๐% ขาดอาหารจึงไม่ร้ายเท่ากับขาดน้ำ อดอาหารเป็นเดือนยังอยู่ได้ แต่ถ้าขาดน้ำเพียงไม่กี่วัน ก็ต้องกลับบ้านเก่า รู้อยู่ว่าร่างกายของเราต้องการน้ำอย่างยิ่ง แต่เคยคิดไหมว่าจิตใจของเราก็ต้องการน้ำเช่นกัน น้ำอะไรล่ะที่จิตใจต้องการ ก็ "น้ำใจ" ไงล่ะ น้ำใสช่วยหล่อเลี้ยงร่างกายฉันใด น้ำใจก็ช่วยบำรุงจิตใจฉันนั้น เวลามีคนมาแสดงน้ำใจต่อเรา แม้เพียงแค่ไต่ถามทุกข์สุขหรือยิ้มให้ จิตใจเราก็ชื่นบานแล้วไม่ต่างจากดอกไม้ที่ได้น้ำ ในความทรงจำของแต่ละคน มีเรื่องประทับใจที่สวยงามแบบนี้อยู่มากมาย ๔๐ ปีผ่านไปแล้ว บางคนยังจำได้ถึงความเอื้ออารีที่ได้รับจากคุณป้าผู้หนึ่งที่เข้ามาพยุงตนเองให้ลุกขึ้นมาหลังจากหกล้มในสนามเด็กเล่น บางคนยังแย้มยิ้มในใจเมื่อนึกถึงเพื่อนชั้นประถมที่แบ่งปันขนมให้กินในยามที่ตนยากไร้ ไม่ใช่แต่น้ำใจที่เราได้รับกับตัวเท่านั้น เพียงแค่ได้เห็นผู้คนมีน้ำใจต่อกัน ก็สามารถทำให้จิตใจเกิดปีติยินดีขึ้นได้ น้ำใจอย่างนี้ช่วยให้เรามีศรัทธาในมนุษย์ และเกิดกำลังใจที่จะทำความดี หรืออย่างน้อยก็เตือนใจไม่ให้เราเห็นแก่ตัวเองมากเกินไป ใครเล่าจะไม่ซาบซึ้งเมื่อได้เห็นเด็กน้อยจูงมือคนตาบอดเดินข้ามถนนทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จักกันมาก่อน ประสบการณ์และเรื่องราวแบบนี้เป็นเสมือนน้ำที่ช่วยชโลมใจให้ชื่นบานได้ไม่น้อย ในยุคที่ผู้คนพากันเร่งรีบและมีเวลาให้แก่กันน้อยลง แถมเอาเปรียบกันมากขึ้น วิธีหนึ่งที่จะช่วยรักษาใจให้ชุ่มชื่นอ่อนโยน ไม่แข็งกระด้าง ก็คือเปิดใจรับรู้และหมั่นสดับฟังเรื่องราวของผู้คนที่มีน้ำใจไมตรีต่อกัน ขณะเดียวกันก็ประทับสิ่งดีงามเหล่านั้นไว้ในจิตใจให้คงอยู่นานเท่านาน เพื่อจะได้ระลึกนึกถึงในยามที่จิตใจแห้งแล้ง จะยิ่งดีกว่านั้นหากเราช่วยกันถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้ให้แก่ผู้อื่นได้รับรู้ด้วย โดยเฉพาะลูกหลานและมิตรสหาย เพราะน้ำใจนั้นใคร ๆ ก็ต้องการมาบำรุงจิตใจ แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล่าก็ตาม เรื่องของน้ำใจถึงจะเป็นแค่นิทานแต่ก็มีพลังไม่น้อย เพราะสามารถประทับแน่นในจิตใจของเด็ก ๆ ได้ เวลาผ่านไปหลายสิบปีก็ยังไม่ลืมเลือน เมื่อครั้งที่ผู้เขียนยังเด็ก ได้อ่านนิทานมาเยอะ และก็ลืมไปเยอะเช่นกัน แต่จำได้แม่นยำอยู่เรื่องหนึ่ง ซึ่งที่จริงก็เป็นแค่ตอนเดียวเท่านั้น เรื่องมีอยู่ว่าโจรคนหนึ่งออกอุบายปลอมตัวเป็นคนหลงทางในทะเลทราย เมื่อพระเอกขี่อูฐผ่านมาพบเข้าก็ตรงเข้าไปช่วยเหลือ ผลก็คือถูกโจรปล้นชิงทรัพย์จนหมดตัว ไม่เว้นแม้อูฐ แต่ก่อนที่โจรจะจากไป พระเอกขออย่างหนึ่งจากโจร เขาไม่ได้ขอน้ำหรืออาหาร หากขอร้องโจรว่าอย่าได้ไปอวดใคร ๆ ว่าใช้อุบายอะไร เพราะต่อไปจะทำให้ใคร ๆ ไม่กล้าช่วยคนหลงทางเนื่องจากกลัวว่าจะเป็นโจรปลอมตัวมา นิทานเรื่องนี้ประทับใจผู้เขียนมาก เพราะทั้ง ๆ ที่ลำบาก แต่พระเอกไม่ได้คิดถึงตัวเองเลย กลับเป็นห่วงคนบริสุทธิ์อีกมากมายที่จะต้องเดือดร้อนจากคำพูดของโจร น้ำใจอย่างนี้ลืมไม่ได้ง่าย ๆ น้ำใจที่ตราตรึงใจคนนั้น ไม่จำเป็นต้องอาศัยวีรกรรมหรือความเสียสละอย่างนิทานก็ได้ เรื่องจริงของคนเล็กคนน้อยก็สามารถสะเทือนใจคนได้เหมือนกัน เด็กน้อยวัย ๑๐ ขวบเข้าไปในร้านไอสครีมชื่อดัง เมื่อนั่งที่โต๊ะเสร็จ พนักงานเสิร์ฟก็เข้ามาบริการ "ไอศกรีมซันเดย์ถ้วยละเท่าไหร่ครับ" เด็กชายถาม เมื่อได้คำตอบว่าราคา ๕๐ เซ็นต์ เด็กชายก็ควักเหรียญออกมานับ สักพักก็ถามว่า "แล้วไอศกรีมธรรมดาล่ะครับ ถ้วยละเท่าไหร่" ระหว่างที่รอเด็กน้อย สาวเสิร์ฟสังเกตว่าลูกค้าเริ่มแน่นร้าน เรียกหาคนบริการ เธอจึงเริ่มจะทนไม่ไหว นึกรำคาญเด็กน้อย จึงตอบห้วน ๆ ว่า " ๓๕ เซ็นต์" เด็กน้อยได้ยินแล้วก็นับเงินอีก สุดท้ายก็บอกว่าขอไอศกรีมธรรมดาแล้วกัน พนักงานสาวเอาไอศกรีมมาให้ วางบิลล์บนโต๊ะ แล้วเดินจากไป ส่วนเด็กชายเมื่อกินเสร็จก็เอาบิลล์ไปจ่ายที่เคาน์เตอร์แล้วเดินออกไป เมื่อพนักงานสาวกลับมาเก็บถ้วยที่โต๊ะของเด็กน้อย เธอก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่เพราะมีเงิน ๑๕ เซ็นต์วางอยู่ข้างถ้วย เธอรู้ทันทีว่าเด็กน้อยไม่ยอมซื้อไอศกรีมซันเดย์ ทั้ง ๆ ที่มีเงินครบ ๕๐ เซ็นต์ เพราะต้องการเหลือเงินไว้เป็นค่าทิปให้เธอ น้ำใจของเด็กคนนี้มิเพียงสั่นคลอนจิตใจของพนักงานสาวเท่านั้น หากยังสอนใจเราได้มากมาย ใช่หรือไม่ว่าโลกนี้น่าอยู่และชีวิตนี้มีความหวังก็เพราะน้ำใจแบบนี้ |
ขอบคุณ คุณสุมิตรชัย เช่นกันครับ ที่มาเยี่ยมเยือนพูดคุย