โรงเรียนเป็นเพียงโรงฝึกสัตว์เศรษฐกิจให้เข้าลู่วิ่ง


คัดลอกจากบทความของ พระมหาพงศ์นรินทร์ ฐิตวํโส วัดสุทัศนเทพวราราม กทม.

โรงเรียนเป็นเพียงโรงฝึกสัตว์เศรษฐกิจให้เข้าลู่วิ่ง แต่ถ้าเทียบกับการจัดการศึกษาอย่างไม่ดี ก็จะมองเพียงแค่การศึกษาในระบบโรงเรียน ก็จะเป็นเพียงแค่การฝึกคนให้เป็นสัตว์เศรษฐกิจ ฝึกให้เข้าลู่วิ่ง แข่งขันกันเป็นบ้าเป็นหลังตั้งแต่ยังเล็ก ๆ โดยพฤตินัย โดยงบประมาณ โดยความรู้สึกจริงๆ โดยความเคยชินของคนในระบบโรงเรียน ได้ทุ่มเทไปในส่วนของการเรียนวิชาเพื่อการสอบแข่งขันเอาเครื่องล่อเท่านั้นเอง โดยพฤติกรรมที่เป็นซ้ำๆ กันอยู่ก็เป็นเพียงแค่นั้นจริงๆ และการศึกษาในระบบโรงเรียน ที่ไม่สมบูรณ์นี้ ก็จะหล่อหลอมแต่คนที่ชำรุด เป็นส่วนเสี้ยวของความเป็นคนเป็นมนุษย์มาให้แก่สังคมเท่านั้น ถามว่ามนุษย์มีคุณค่าเพียงแค่ความรู้ที่เอาไปสอบอย่างนั้นหรือ ? เป็นเพียงสัตว์ที่ให้เขาฝึกเข้าลู่วิ่งเท่านั้นหรือ?
       
       จากที่บ้าน ในครอบครัว พ่อแม่ก็โดนสังคมสมัยใหม่บ่มเพาะให้มีความเชื่อ ความเคยชิน ว่าความเชี่ยวชาญในการให้การศึกษา อบรมบ่มเพาะ เด็ก ก็คือครูในโรงเรียน ตนเองก็ต้องรีบทำงานหาเงิน มาเลี้ยงลูก ซึ่งก็เป็นการเลี้ยงที่มีความหมายแคบลงมาแค่เพียงเลี้ยงทางวัตถุ ทางสรีระร่างกายเท่านั้น และมักจะเกินพอดีจนทำให้เด็กเป็นพวกบริโภคนิยมอย่างฝังราก ส่วนอื่นของเด็ก ก็หวังว่าโรงเรียนจะเลี้ยง อบรม ดูแลลูกให้ เมื่อ ตามมาดูที่โรงเรียนก็ปรากฏว่า ครูก็บอกว่าภาระงานสอน 8 คาบในหนึ่งวัน ก็หนัก เหนื่อยแย่แล้ว เด็กต่อครูก็เยอะมาก ยังมีงานอย่างอื่นอีก เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะมีเวลาอบรมบ่มเพาะส่วนอื่นของเด็ก

ความเคยชินส่วนใหญ่ทางพฤตินัย จึงเป็นเพียงการให้ความรู้เพื่อสอบ โรงเรียนจึงเป็นโรงฝึกสัตว์เศรษฐกิจให้เข้าลู่วิ่งไปโดยไม่รู้ตัว ไปๆ มาๆ เด็กสมัยนี้และที่ผ่านมาตลอด 30-40 ปี จึงน่าสงสารมาก เพราะไม่มีใครเลี้ยงเลยแล้วถามว่าใครล่ะที่คอยเลี้ยงคอยบ่มเพาะ ก็สังคมที่เลวร้ายที่ห้อมล้อมอยู่ทุกหัวระแหงนี่แหล่ะที่เลี้ยง พ่อแม่ก็ซ้ำเติมให้เป็นพวกบริโภคนิยม โรงเรียนก็ซ้ำเติมให้เป็นพวกสัตว์เศรษฐกิจ สื่อก็พร้อมที่จะมอมเมา ยั่วยุกระตุ้นให้อยากมากๆ ระบบเศรษฐกิจแบบมิจฉาทิฏฐินี้ก็พร้อมที่จะให้ผู้ใหญ่หากินจากการหลอดเด็กให้อยาก มอมเมาเด็ก อิทธิพลกลุ่มจากหมู่เพื่อนก็พร้อมจะจูงมือพากันไปลงเหวด้วยความเต็มใจ “โดยไม่ได้มีกระบวนการทางสังคมใดๆ เลยที่จะให้สติปัญญาเป็นภูมิคุ้มกันแก่เด็กและทุกคนในสังคมของเราอย่างเป็นรูปธรรมในวิถีชีวิต” ในขณะที่สิ่งดีๆ ในวันวาน ได้เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ร่วมกันสร้างสังคมอันเลวร้ายนี้กันอย่างเมามัน ปราศจากสติตื่นรู้ภัยที่เหมือนไฟกำลังจะไหม้บ้านตัวเองอยู่ แม้ตอนนี้ก็อาจยังไม่ค่อยจะตระหนักรู้ตัวกัน

ที่มา :Dhamma and Life - Manager Online

หมายเลขบันทึก: 95508เขียนเมื่อ 11 พฤษภาคม 2007 02:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 10 มิถุนายน 2012 21:30 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

ความรู้ผมเพิ่งเบ่งบาน  ตอนผมหยุดเรียนนี่แหละครับท่าน

เด็ก ๆ เกิดมาพร้อมกับ "เชาว์ปัญญา"  ก่อนที่จะถูกบั่นทอนไปเรื่อย ๆ จาก พ่อแม่ ครู อาจารย์ นักบวช และนักการเมือง

พอเด็กเรียนจนจบ  เขาจะเชื่องมากเลย  ท่านเคยสังเกตไหม..."เชาว์ปัญญา" ของเขาถูกทำให้ทื่อหมด  จะจูงไปไหนก็ได้...

กว่าผมจะตั้งสติได้...ตั้งใช้เวลาเป็นปี  หลังจากเรียนจบ

ระบบการศึกษา  มันทำให้สิงห์โต  ไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในป่าโดยมีชีวิตรอดได้...น่าเศร้ามาก...

มันใส่ความหวาดกลัวเข้าไปในหัวเด็ก...มันเป็นระบบที่เปลี่ยนอิสระชน  ให้กลายเป็นทาสครับท่าน...ทาสของระบบทั้งหลาย...รวมทั้งเศรษฐกิจดังที่ท่านว่า

ท่านครับ ลู่วิ่งที่ลูกผมอยู่ไม่ปลอดภัยเลยครับ เศร้า.....
  • วิ่งระยะสั้น - สอนเทคนิคการวิ่งให้ลูก

- วิ่งอย่างไรให้ชนะตนเอง

  • วิ่งทางไกล - วิ่งให้ลูกดู

- วิ่งอย่างไรให้ชนะใจผู้อื่น

  • วิ่งผลัด 

-ช่วยเหลือผู้อื่น ที่ไม่สามารถแม้แต่จะเดิน

-ส่งไม้ต่อ ให้ผู้อื่นวิ่งได้อย่างตนวิ่ง

"..It was not just the race to win. It's an opportunity for Thai people to look after each others."


ขอบคุณโรงเรียนวิถีพุทธ ที่ไม่ใช่เป็นเพียงลู่วิ่ง แต่สร้างนักวิ่งที่มี สปิริตของนักกิฬา

 

เป็นบทความที่ดีมากๆ ครับผม

เอามาลงอีกนะครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท