งานเรียบเรียงชุดนี้นะครับ ผมได้ศึกษามาจากพระไตรปิฎกที่ผมพอหามาศึกษาได้ ประกอบกับ
หนังสือเชิงธรรมมะของท่าน ว.วชิรเมธี
ที่มีจำหน่ายอยู่ตามแผงทั่วไป เรียนเชิญทุกท่านศึกษาเพื่อความปกติสุขของตัวท่านเอง
ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านหลายท่านคงจะรู้จักคำว่า ทุนนิยม บริโภคนิยม วัตถุนิยม หลายคนในโลกใบนี้กำลังบ้าคลั่งกับการแสวงหาทรัพย์สมบัติ จนกลายสภาพจาก “มนุษย์ผู้เป็นสัตว์ประเสริฐ” ไปเป็น “มนุษย์ผู้เป็นสัตว์เศรษฐกิจ” คนบางคนใช้ชีวิตในแต่ละวันให้หมดไปกับการมุ่งแสวงหาความร่ำรวย มีความอยากมีอยากได้ ไม่รู้จักอิ่มจักพอ เห็นแก่ตัว ไม่มองคนรอบข้าง ขาดการให้ทาน ขาดการอุ้มชูช่วยเหลือสังคมแลเพื่อนมนุษย์ ลืมกระทั่งคำว่าจริยธรรม
ซึ่งเหตุเหล่านี้นะครับ ก็เป็นเหตุแห่งการทุจริตประพฤติมิชอบ การพนัน ความอิจฉา การเอารัดเอาเปรียบต่างๆ เพื่อนำทรัพย์ที่ได้ไปสนองกิเลสของตน ถามว่าคนจำพวกนี้มีมากน้อยแค่ไหน ผมเรียนเชิญท่านผู้อ่านพิจารณาเอาจากคนรอบข้างก็ดี สื่อต่างๆที่รายงานมาก็ดี หรือพิจารณาตนเองก็ดี พิจารณาแล้วก็สมควรพิจารณาคำสอนของพระพุทธองค์ประกอบ ทั้งนี้เพื่อรักษาความดี แลให้ความดีของท่านรักษาตัวของท่านเอง
กาลหนึ่งพระพุทธองค์ได้เทศนาไว้ ...
อาตมาเห็นผู้คนที่มีทรัพย์ในโลก ได้ทรัพย์เครื่องปลื้มใจแล้ว
ไม่ยอมให้(ใคร)เพราะความหวง ได้ทรัพย์แล้วเก็บสะสมไว้
และปรารถนากามคุณ (รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส) ยิ่งๆขึ้นไป
พระราชาทรงกดขี่แย่งชิงเอาแผ่นดิน
ทรงครอบครองแผ่นดินซึ่งมีสมุทรสาครรอบล้อม
ตลอดสมุทรสาครฝั่งนี้ ยังไม่ทรงพอ
ยังปรารถนาจะครอบครองสมุทรสาครฝั่งโน้นอีก ...
ทั้งพระราชาและคนอื่นเป็นจำนวนมากยังไม่ปราศจากตัณหา
ก็เข้าถึงที่ตายยังไม่เต็มตามที่ต้องการเลย ก็ละทิ้งร่างกายไป
เพราะความอิ่มด้วยกาม (สิ่งอันพึงปรารถนา) ไม่มีในโลก ...
หมู่ญาติพากันสยายผมคร่ำครวญถึงคนที่ตายนั้น
และพูดว่า“ทำอย่างไรหนอ พวกญาติของเราทั้งหลายจึงจะไม่ตาย”
แต่ก็นำศพนั้นซึ่งห่อไว้แล้วช่วยกันยกสู่เชิงตะกอน
แลช่วยกันเผา ละโภคทรัพย์มีแต่ผ้าผืนเดียว
เมื่อคนจะตาย ญาติ มิตร หรือ สหาย ก็ช่วยไม่ได้
ทายาททั้งหลายก็ขนทรัพย์สมบัติของเขาไป
ส่วนสัตว์ที่ตายไปก็ย่อมไปตามกรรม
บุตร ภรรยา ทรัพย์ ข้าวของเงินทอง ก็ติดตามไปไม่ได้
ทรัพย์ช่วยคนให้มีอายุยืนไม่ได้ ทั้งช่วยให้คนละความแก่ก็ไม่ได้
นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวชีวิตนั้นว่าน้อยนักไม่ยั่งยืน
มีความแปรเปลี่ยนไปเป็นธรรมดาทั้งคนมั่งมีและคนยากจนก็ย่อมประสบเช่นนั้น
ทั้งพาลและบัณฑิตก็ประสบเหมือนกันทั้งนั้น
คนพาลนั่นแหละถูกเหตุแห่งทุกข์กระทบเข้า
ย่อมหวั่นไหวเพราะความเป็นคนโง่
ส่วนบัณฑิตถูกกระทบเข้าก็ไม่หวั่นไหว
เพราะเหตุนั้นแล...
ปัญญาเท่านั้นเป็นเหตุบรรลุนิพพาน ซึ่งเป็นที่สุดแห่งภพในโลกนี้
...................................
การทำงานทำการมุ่งหน้าทำมาหากินนั้นก็ดี จะขึ้นสูงจะลงต่ำนั้นก็ดี เป็นการมุ่งไปในทางข้างหน้า แต่สุดท้ายแล้วถนนของแต่ละท่านย่อมมีวันสิ้นสุด ผมจึงอยากจะเตือนว่าระหว่างการเดินทางของชีวิตนั้น อย่าลืมสร้างบุญสร้างกุศล จะถือศีลก็ดี ทำทานก็ดี ตามโอกาสตามสมควร ทางที่ดีก็คือการทำงานนั้น ควรทำอย่างสุจริตเต็มความสามารถ เพื่อวันใดที่เราสิ้นลม กรรมดีที่เราสร้างมาจักเป็นทุนในการเดินทางไปยังที่ดีที่สูง
...................................
สุดท้ายเรียนเชิญท่านผู้อ่านแสดงความคิดเห็น หรือขยายความในส่วนของบทความที่ยังบกพร่อง
ทั้งนี้เพื่อเป็นทานแก่ผู้ที่มาอ่านเอาความรู้ต่อไป
...................................
บทความที่เกี่ยวข้อง - รู้ทางเพื่อรู้ธรรมตอนที่ ๑ การล้างบาปด้วยน้ำมนต์
- รู้ธรรมเพื่อรู้ทาง ตอนที่ ๒ คนโกรธที่ปรากฏอยู่ในโลก
.................................
ญิกา
เรียน คุณญิกา
ปล.องค์การนิสิตชุดปัจจุบันนี้เป็นชุดใหม่ที่พึ่งได้รับเลือกตั้งเข้ามาทำงาน ขณะนี้กำลังเตรียมงานรับน้องมหาวิทยาลัยอยู่ ท่านใดมีข้อเสนอแนะเรียนเชิญครับ
เสริม
ขอขอบคุณ... คุณบีเวอร์
ขอกล่าวสาธุการ... สาธุ สาธุ สาธุ
ตอบ คุณแม่
ตอบ อาจารย์หมอวัลลภ
ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ