ช่วงสัปดาห์สองสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเรื่องท๊อปอ๊อฟเตอะทาวน์อยู่เรื่องหนึ่งที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันทั่วไป คือ แนวคิดการสอนเรื่องถุงยางอนามัยให้กับเด็กเล็กๆ ของคุณมีชัย เจ้าพ่อถุงยางอนามัยของประเทศไทย
ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า อะไรควรสอนก่อนกันระหว่างการเรียนรู้เรื่องการใช้และสร้างความคุ้นเคยเกี่ยวกับถุงยางอนามัยกับเรื่องของการสอนให้รู้จักรักงวนสงวนตัวและหลีกห่างเรื่องการผิดหลักคำสอนของศาสนาในเรื่องเพศ
อันที่หนึ่ง ทุกศาสนาห้ามในเรื่องของการผิดประเวณี ไม่มีศาสนาไหนที่อนุมัติเรื่องนี้อย่างชัดเจน อิสลามก็ห้าม พุทธก็ห้าม ซึ่งนั้นก็หมายถึงอะไร
กับอีกเรื่องหนึ่งคือ เต็กจำเป็นต้องสร้างความคุ้นเคยกับถุงยางอนามัยตั้งแต่เล็ก เพื่อให้เขาโตขึ้นแล้วไม่เคอะเขินต่อการใช้ถุงยางอนามัยในระหว่างที่ทำผิดหลักศาสนาหรือ?
ตกลงเป้าหมายในการสอนครั้งนี้ เพื่อให้บุตรหลานของคุณคุ้นเคยกับการทำผิดหลักศาสนาเลยใช่มัย
ดูแนวคิดแล้วตลกมากครับ ผมนึกถึง คุณย่าคุณยายผม ที่สอนน้องๆ และตัวผมตอนเด็ก คุณย่าจะพูดทุกครั้งเวลาที่เราหยิบอะไรมากินโดยใช้มือซ้าย คุณย่าจะบอกว่า ไซตอน(มารร้าย) กินข้าวด้วยมือซ้ายน่ะ ซึ่งผมจำได้ตอนโตว่า พวกเราจะพูดต่อจากท่านว่า กินแบบไซตอน อัลลอฮ์จะไม่รัก
คนโบราณสอนคุณธรรมจริยธรรมเก่ง เขาสามารถนำสิ่งที่เป็นนามธรรมมาสอนให้เด็กตัวเล็กๆ เข้าใจได้ว่า ความดีเป็นอย่างไร ความชั่วเป็นอย่างไร
ในสมัยเด็ก เราไม่รู้หรอก ว่า อัลลอฮ์คือใคร พระเจ้าคืออะไร เรารู้แค่ว่า ถ้าอัลลอฮ์ไม่รัก พ่อแม่ก็ไม่รักด้วย คุณปู่คุณย่า คุณตา คุณยายก็ไม่รักด้วย แค่นั้นเอง ไม่ซับซ้อน แต่ทั้งหมดสร้างนิสัยเราได้
ถ้าวันนี้เราเริ่มสอนลูกสอนหลานของเราว่า ถ้าจะทำความผิดละก้อต้องใช้ถุงยางนะจ๊ะ เราก็คงไม่จำเป็นต้องสอนลูกสอนหลานของเราเรื่องคุณธรรมจริยธรรม เรื่องศิลธรรม อะไรอีกหรอกครับ เสียเวลา เพราะคล้ายกับเราบอกลูกของเราว่า เรื่องแบบนี้ทำไปเถอะลูก ขออย่างเดียวอย่าเอาโรคมาติดตัวเองก็พอ ลูกใคร เมียใครไม่ต้องสนใจหรอก มีโอกาสจะคว้าเอาไว้เป็นประสบการณ์
อือ! ทำไมจึงคิดว่าคุณธรรมเป็นเรื่องที่สอนยากกว่าเรื่องสอนให้ลูกใส่ถุงยางอนามัยหรือครับ
หรืออีกคำถามหนึ่งที่เกิดขึ้นสำหรับผมคือ คนรุ่นปัจจุบันไม่สามารถเป็นตัวอย่างให้กับเด็กในเรื่องของคุณธรรมจริยธรรมแล้วหรือ
สงสัยต้องใช้คำพระแล้วละครับ ปลงเถอะโยม
ที่เป็นปัญหาในปัจจุบัน เนื่องจากคนรุ่นเราลืมที่จะสอนคุณธรรมจริยธรรมให้กับบุตรหลานของเรา และที่สำคัญเราลืมทำตัวเป็นแบบอย่างในเรื่องนี้
แล้วทำไมไม่ให้ความสำคัญกับต้นเหตุละครับ ไปคิดแก้กันที่ปลาย.... จะแก้ได้ยั่งยืนขนาดไหนเชียว