กรณีการหาข้อตกลงกันใหม่เกี่ยวกับดาวพลูโต ระหว่างนักดาราศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์หลายสาขา และในที่สุด เป็นที่ยุติตรงที่ไม่นับว่าดาวพลูโตเป็นดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ ทำให้ดาวนพเคราะห์จากที่เคยยอมรับกันว่ามีเก้าดวงเหลือแปดดวง และความรู้พื้นฐานที่ใช้กันในโลกที่เป็นภาคขยายออกไปจากสิ่งที่เดินตามกันมาในแนวนี้ ก็คงต้องปรับไปตามความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้หมด
ผมไม่รู้เรื่องพวกนี้หรอก แต่พอจะจับสาระสำคัญและเห็นบทเรียนว่าเรื่องนี้มีข้อที่น่าสนใจที่สาธารณชนมักมิได้กล่าวถึงที่สำคัญอยู่ 2 เรื่องและสำคัญมากด้วย คือ..........
(1) เครื่องมือและวิธีการสร้างความรู้เปลี่ยนแปลงความรู้ของทั้งโลก ไม่ใช่ตัวความรู้หรือศาสตร์ที่สร้างขึ้น
ที่มาของความเปลี่ยนแปลงวงการดาราศาสตร์ และวิทยาศาสตร์หลายสาขาครั้งนี้ เป็นผลสืบเนื่องจากเมื่อครั้งที่นักวิทยาศาสตร์ได้ส่งยานสำรวจอวกาศออกไปจนสุดขอบระบบสุริยะ กล้องที่ส่งไปคือกล้องฮับเบิ้ล หรือเครื่องมือเก็บข้อมูลภาพจากการสะท้อนแสงและการมีแสงสว่างออกมาของวัตถุ จะว่าไปแล้ว กล้องฮับเบิ้ลก็คือเลนส์ขนาดใหญ่และที่แปลงสัญาณภาพเป็นสัญญาณดิจิตอลลงมายังโลกนั่นเอง
ทว่า ระหว่างที่จะต้องเก็บบันทึกข้อมูลการระเบิดใหญ่ (Big Bang) ของซุปเปอร์โนวา ซึ่งจะเป็นตัวไขความลับและให้ความกระจ่างแจ้งมากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับการก่อเกิด และความเป็นมา ทั้งของโลก ระบบสุริยะ และเอกภพนั้น กล้องฮับเบิ้ลเกิดเสียขึ้นมา โอกาสอันสำคัญเป็นอย่างยิ่งเช่นนี้ จะหาไม่ได้อีกแล้ว นักวิทยาศาสตร์ก็เลยส่งสัญญาณแจ้งข่าวฉุกเฉิน บอกพิกัดให้กล้องอวกาศทั่วโลก นักดาราศาสตร์ และนักวิทยาศาสตร์สาขาต่างๆ เล็งไปยังพิกัดเดียวกันเพื่อร่วมศึกษา สังเกตการณ์ และระดมเก็บข้อมูลตามแต่จะทำได้
การจัดการความรู้ร่วมกันแบบฉุกเฉินดังกล่าว ก่อให้เกิดความร่วมมือและความพร้อมเพรียงกันมากที่สุดอย่างไม่เคยมีมาก่อนของทั้งโลก ระบบกล้องที่ศึกษาอวกาศของหลายประเทศทั่วโลก และการร่วมสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิดของเหล่านักวิทยาศาสตร์ มุ่งไปยังที่เดียวกัน ไม่มีความเป็นชาติ ไม่มีพรมแดนประเทศ ไม่มีพรมแดนระหว่างศาสตร์และสาขาความเชี่ยวชาญ ไม่มีพรมแดนจากเครื่องมือและวิธีการ พรมแดนลัทธิ ศาสนา วัฒนธรรม เพศ และชนชั้นทางสังคม เรียกว่ามนุษย์และทั้งโลกเป็นหนึ่งเดียวกันในครั้งนั้น...จุดเริ่มต้นก็คือ กล้องเสีย กับการที่ผู้คนมีสำนึกทางปัญญาสากล และการช่วยกันบอกต่อๆกันไปอย่างไม่ต้องหวงความรู้ไว้กับตนเอง
เกิดการระดมพลังของเครื่องมือและระบบกล้องศึกษาอวกาศที่สำคัญ 3 ชนิด และมีขอบเขตในการทำงานต่างกัน 3 ระดับคือ ลอยอยู่นอกวงโคจรของโลก ลอยอยู่ในวงโคจรของโลก และอยู่บนภาคพื้นดิน ทำให้เกิดเครือข่ายสุดยอดของเครื่องมือสร้างความรู้สมัยใหม่ ที่พรักพร้อมเป็นที่สุดในยุคสมัยนี้ของโลก คือ
ทั้งหมดนี้ เป็นการรวมกันของสุดยอดวิทยาการและเทคโนโลยีการสร้างข้อมูลสารสนเทศและภาพ (Imaging Technology) เท่าที่โลกพัฒนาได้แล้ว 3 ระบบ อันเป็นที่มาของเทคโนโลยีความรู้ ข่าวสาร และสารสนเทศ ที่มีอยู่ทั้งโลก ณ เวลานี้ อีกทั้งก้าวล้ำยุคและแปรมาเป็นธุรกิจที่ใช้ในโลกได้ยังไม่ถึง 20 เปอร์เซนต์
ยกตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีกล้องถ่ายภาพดิจิตอลที่เปลี่ยนแปลงวงการถ่ายภาพและสื่อมัลติมีเดียนั้น เป็นการประยุกต์ใช้ความรู้พื้นฐานของเทคโนโลยีอวกาศ ทว่า กล้องดิจิตอลที่ดีที่สุดที่เราหาซื้อได้ในท้องตลาดนั้น ขีดความสามารถยังไม่ถึง 1 เปอร์เซนต์ของเทคโนโลยีที่ค้นพบและทำได้แล้วที่เป็นกล้องฮับเบิ้ล (สามารถรับภาพจากแสงสะท้อนต่ำกว่าความสามารถที่สายตาของมนุษย์จะมองเห็น 300 เท่าและปรับความคมชัดได้ทุกจุดบนแผ่นรับภาพ)
ผลก็คือ เกิดความรู้และข้อมูลอวกาศมากมาย รวมทั้งหลากหลายมากที่สุด เมื่อนำมาปะติดปะต่อกันแล้ว ก็ล้วนน่าเชื่อถือ ถูกต้อง และเป็นข้อเท็จจริงที่ได้มาโดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ขยายโลกทัศน์และก่อให้เกิดการขยายผลการศึกษาต่างๆตามมาอีกมากมาย การประชุมเพื่อหาข้อยุติเกี่ยวกับกรณีดาวพลูโตก็เป็นส่วนหนึ่ง ดังนั้น สิ่งที่เปลี่ยนแปลงโลกและวิทยาศาสตร์ของโลกครั้งนี้ ไม่ใช่ตัวความรู้ครับ แต่เป็นเครื่องมือและวิธีการสร้างความรู้ ที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง
(2) จัดการข้อยุติโดยวิธีการทางสังคมและประชาสังคม (Civic Innovation)
การพิจารณากรณีดาวพลูโตและการหาข้อยุติ ก็เลยไม่สามารถใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์อย่างเดียวได้ล่ะสิครับ เพราะข้อมูลและความรู้ ซึ่งสร้างความจริงขึ้นมาโดยเครื่องมือและวิธีการที่ต่างกัน แต่มุ่งไปยังสิ่งเดียวกัน ตลอดจนความทรงภูมิของนักวิทยาศาสตร์หลากหลายสาขาระดับโลกและของทั้งโลก ก็ทำให้หาข้อยุติไม่ได้ วิธีการที่เป็นข้อยุติก็คือ การประชุมและการโหวตลงคะแนนของเหล่านักวิทยาศาสตร์ ตรงนี้เป็นวิธีการทางสังคมแล้วครับ
ถึงที่สุดแล้ว มนุษย์ต้องหันหน้าคุยกันและฟังกัน อีกทั้งในเวทีประชุมดังกล่าว นักวิทยาศาตร์ต่างมีอิสรภาพทั้งในฐานะปัจเจกและในฐานะความเชี่ยวชาญของตน ความสมานฉันท์และการจัดการภาวะผู้นำทางวิทยาศาสตร์ หรือภูมิปัญญาสมัยใหม่ของทั้งโลกได้ในครั้งนี้ จึงเป็นเวทีประชาคมที่เปลี่ยนแปลงโลก
ศาสตร์ของโลกและภูมิปัญญาเพื่อจัดการความเปลี่ยนแปลงโลกสมัยใหม่หลังยุคปลดดาวพลูโต ต้นธารจึงมิใช่วิทยาศาสตร์แต่เพียงลำพังครับ ทว่า บูรณาการกับมิติความเป็นมนุษย์และวิธีจัดการอย่างใช้ปัญญาร่วมกันของประชาสังคมวิทยาศาสตร์ครับ
ความรู้พื้นฐานที่ขับเคลื่อนความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของโลก ดำเนินไปอย่างนี้เสียแล้ว พัฒนาการลำดับต่อไปในยุคนี้ ทั้งของท้องถิ่นและของโลก จึงยากที่จะไม่ให้ความสำคัญต่อความเป็นสหวิทยาการและการพัฒนาบูรณาการศาสตร์ ทั้งมิติความรู้และการจัดการทางสังคม สะท้อนให้เห็นว่า โลกอนาคตต้องมีความพอดีทั้งความร่วมมือและการแข่งขัน ความเป็นปัจเจกและความเป็นส่วนรวม ความเป็นเลิศในสิ่งสากลและความเป็นเลิศในตัวของตัวเอง.
ไม่มีความเห็น