กลับมาเมืองไทยหนนี้ผมพบเพื่อนสนิทหลายคนครับ
คนแรกคือมติชนสุดสัปดาห์ ได้เจอกับฉบับวันที่ 27 เมษายน 2550 เพื่อนซี้คนนี้โชว์รูปเพียงฟ้า-ภารดร ข่าวใหญ่ระดับโลก ... (ในบ้านเรา) อ่านไปก็รู้สึกเหมือนเพื่อนคนนี้ยังไม่เปลี่ยนแปลง คอลัมนิสต์ที่อ่านเพลินอย่างไรก็ยังเพลินอยู่อย่างนั้น อ่านคอลัมน์อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์แล้วอ้าปากค้าง ประจุไฟฟ้าวิ่งพล่านทั่วสมองอย่างไรก็ยังอย่างนั้น คุณหนุ่มเมืองจันทร์เคยฮาแบบมีสาระอย่างไร ก็ยังเขียนได้คงเส้นคงวา
แต่ที่ผมเอะใจคือข่าวพี่บอลนี่ล่ะครับ คือผมได้ยิน ได้เห็นสื่อประโคมข่าวว่าการหมั้นหมายครั้งนี้ใหญ่โตเป็นข่าวใหญ่ระดับโลก แต่ผมไม่ยักได้ยินข่าวนี้ที่อเมริกา ผมถึงได้วงเล็บเอาไว้ว่าเป็นโลกในบ้านเรา คำว่าโลกในความหมายของสื่อนั่นน่าคิดว่าหมายความอย่างไร โลกที่สื่ออยากให้คนเสพเข้าไปอยู่? โลกที่สื่อสร้างไว้ให้คนเสพเชื่อตาม? หรือเป็นโลกที่สื่อเองคิดเอาว่าคือโลกจริง อันนี้น่ากลัวเพราะสื่อเองไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในโลกใบนั้น แล้วคิดเอาว่าเป็นโลกทั้งโลก คำว่าโลกในที่นี้ผมเลยอยากจะหมายถึงความเชื่อ ระบบความคิด และวิธีปฏิบัติของสังคม ให้ความหมายแบบนี้แล้วก็ไปพ้องกับคำว่าวัฒนธรรม ทั้งผู้บริโภค และผู้ผลิต ร่วมสร้าง กำหนดคุณค่าของเนื้อหาสื่อ จะไปโทษใครได้ เรื่องการกำหนดความหมายนี้ผมว่าครอบคลุมตั้งแต่ระดับประเทศจนถึงระดับบุคคลเลย เพื่อนกันคบกันก็ร่วมกันกำหนดคุณค่า และความหมายให้กับความสัมพันธ์นั้น
พูดอย่างนี้ผมหมายถึงว่าการจะนับใครสักคนเป็นเพื่อนสนิท คงไม่ใช่การหาคนที่มีรสนิยม ความเชื่อเดียวกัน คงเป็นไปได้ยากล่ะครับแบบนั้น แต่ผมคิดว่าน่าจะหมายถึงความเข้าใจในความแตกต่าง อย่างเพื่อนมติชนสุดฯ คนนี้เขามีความหลายหลายในรสนิยม ทุกครั้งมีเรื่องดัง เขาก็จะพูดถึงเรื่องนี้เสียยกใหญ่ (อย่างเรื่องเพียงฟ้า ภารดร นี่ทำให้ผมนึกถึงเรื่องพระยันตระ เพราะเพื่อนมติชนสุดฯ ทำสถิติ ลงปกพระยันตระยาวนานหลายเดือนติดต่อกัน) เพื่อนคนนี้ยังมีความสนใจด้านดวง ด้านต่างประเทศและอะไรต่างๆ อีกมากมาย ซึ่งหลายเรื่อง ผมไม่เคยสนใจ
ถึงหลายคนจะบ่นว่าเขาเปลี่ยนไป เช่นตอนประมาณปี 2540 เขาเอาคอลัมน์อักษรไขว้มาลง หลายคนเห็นแล้วบอกว่ารับไม่ได้ (ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงรับไม่ได้) แต่ผมก็ยังคบกันเขา ยังมีความหมายกับผมและพาเขาไปไหนต่อไหนด้วย หลายคนเห็นผมถือมติชนสุดฯ แล้วขอยืมไปอ่านคอลัมน์ทำนายดวงชะตาซึ่งผมไม่ค่อยสนใจ ผมก็ไม่ว่าอะไร หลายคนเห็นแล้วแย่งไปเปิดอ่านคอลัมน์อาจารย์นิวัติ กองเพียร อันนี้ผมเคือง ให้ตายเถอะ คนกำลังอ่านเพลินๆ
ผมคบกับเพื่อนคนนี้มานานเหลือเกินครับ นานจนรู้ทางกัน และก็คงคบต่อไปอย่างนี้
แมกกาซีนอีกเล่มที่ผมเพิ่งเจอตัวจริงและรับเอาไว้เป็นเพื่อนใหม่คือหนังสือแจกฟรีในเขตกรุงเทพฯ ชื่อว่า Happening ครับ แมกกาซีนเล่มนี้เน้นศิลปะและบันเทิง ความพิเศษที่สุดของแมกกาซีนเล่มนี้คือมีเพื่อนสนิทที่ผมรู้จักมาเท่าอายุผมกุมบังเหียนอยู่ นั่นคือคุณวิภว์ บูรพาเดชะ พี่ชายที่อายุแก่ว่าผมสองปี (แต่ทำไมอายุหน้าเราพอๆ กันก็ไม่รู้) เพื่อน Happening คนนี้ เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อต้นปี ตอนนี้ฉบับรายเดือนลำดับที่สามกำลังจะออกจากแท่นพิมพ์ คุณวิภว์ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างๆ หลายแห่งว่าเขาอยากให้คนมองวงการบันเทิงเป็นศิลปะ ไม่ใช่มองวงการบันเทิงเป็นการบันเทิงเท่านั้น หนังสือเล่มนี้จึงนำเสนอมุมมองของวงการบันเทิงไทยในฐานะงานศิลปะ แต่อีกเรื่องที่เขาไม่ได้บอกสื่อแต่บอกผม
วันนั้นขณะที่เรานั่งเล่นกันในร้านกาแฟ ผมกำลังฆ่าเวลาด้วยการอ่านแมกกาซีนบันเทิงเล่มหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังเพลินอ่านเรื่องดาราอยู่นั้น คุณวิภว์ก็ตั้งข้อสังเกตว่าแมกกาซีนบันเทิงบ้านเราสร้างภาพดาราให้เหนือคนธรรมดา เอาของกินของใช้ดารามาโชว์ เอากิจกรรมดารามาเล่า ซึ่งทำให้คนอ่านรู้สึกว่าเป็นคนพิเศษ (บางคนอาจเห็นเป็นคนวิเศษจนต้องทำตาม) แต่กับ Happening คุณวิภว์อยากจะนำเสนอดาราในฐานะคนธรรมดา มีสุขและเศร้า มีสมหวังและผิดหวัง ใครอยากรู้จักดาราในฐานะคนธรรมดา ที่มีอาชีพทำงานศิลปะขอเชิญติดตามได้ตามจุดปล่อยของ หรือลองชิมได้จากเว็บไซต์นะครับ