ยอมรับว่าปกติแล้วไม่ค่อยมีเวลามานั่งอ่านหนังสือพิมพ์สักเท่าไร วันนี้เป็นอีกวันที่กลับบ้านค่ำ ตอนแรกกะว่าจะเขียนเกี่ยวกับการตั้งเครื่องผิด ตั้งเครื่องใหม่ แต่ไม่รู้เป็นยังไงนึกขึ้นได้ว่า เมื่อเช้ามีน้องที่อยู่ตึกตรงข้ามนำหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ยี่ห้อหนึ่งที่เป็นของอาทิตย์ก่อนมาให้ ชอบอ่านเพราะมีเรื่องเกี่ยวกับการพัฒนาคนและองค์กร
พอหยิบขึ้นเปิดคอลัมน์โปรด เห็นหัวข้อชื่อว่า “การจัดการตัวตน-บริหารธุรกิจ” ก็เฉยเมื่อแรกเห็น แต่พอพบคำว่า ชั่วโมงหายใจ เอ๊ะ แปลกดี ผู้มาบรรยายเล่าว่า “ที่บริษัทของเขามีกิจกรรมชื่อว่า ชั่วโมงหายใจ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เปิดโอกาสให้พนักงานมีโอกาสพบปะกัน บอกกล่าวสิ่งต่างๆ ที่เป็นปัญหา และสาเหตุแห่งความไม่สบายใจในการทำงานเพื่อร่วมกันแก้ไข เมื่อทำแล้วรู้สึกว่าพนักงานมีความสุข เราเองก็มีความสุข จากที่เคยทำกันในช่วงสุดสัปดาห์ ก็เปลี่ยนมาทำทุกวันหลังเลิกงาน” เมื่ออ่านครั้งแรกคิดว่า ก็ดีนะปกติคนคงไม่ค่อยมีเวลาหายใจ ทำแล้วพนักงานมีความสุขเพราะได้ระบายความอัดอั้นตันใจ และช่วยกันแก้ปัญหาจนลุล่วง แต่พอนำกลับมาอ่านที่บ้านหลังจากตัดสินใจที่จะเขียนบันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะช่วงนี้ไม่ว่าที่ไหนก็พูดกันถึงเรื่องของคุณภาพชีวิตในการทำงาน หรือ Quality of Worklife ซึ่งหนึ่งในนั้นต้องทำให้พนักงานมีความสุขเมื่ออยู่ในที่ทำงาน ตอนนี้เกิดฉุกคิดว่า เรามองเพียงผลลัพธ์อีกแล้ว แต่กระบวนการ หรือ ต้นน้ำของเรื่องนี้เขาเป็นมาอย่างไร เราต้องเดาเอาเองแล้วแหละค่ะ ว่า องค์กรนี้เขาทำอย่างไรจึงทำให้คนกล้าเปิดใจพูด เปิดใจฟัง และมีความรู้สึกร่วมที่จะช่วยกันแก้ไขปัญหา บรรยากาศการทำงานที่นี่คงไม่ธรรมดา และพนักงานต้องมีความสนิทสนมกันพอควร อีกปัจจัยหนึ่งคนที่จะมานำการสนทนาต้องสร้างสภาพการณ์ให้มีความวางใจ ไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน เขาน่าจะมี Facilitator เหมือนกันนะ แล้ว คนคนนี้น่าจะมีคุณสมบัติ ความรู้ ความสามารถอะไร จะเป็นเหมือนตัวอะไรในบทเรียนเรื่อง FlOW ของเรา
นอกจากนั้นหัวข้อข่าวนี้ยังพูดถึง ความสุขที่ทุกคนเสาะแสวงหา ก็คือการอยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด สุขหรือทุกข์ไม่ได้เกิดจากคนอื่น แต่เกิดจากความคิดของตัวเองนั่นแหละที่วนเวียนวิตกกังวลถึงอนาคต อาวรณ์ถึงอดีตไม่เลิกรา เหมือนเพลงฮิตสมัยหนึ่ง เนื้อร้องหลายท่อนมีสาระน่าสนใจ เช่นบอกว่า “ถ้าเราลืมความหลังได้ ใจจะเปี่ยมสุข ไม่มีความทุกข์ คอยปลุก คอยย้ำ คนเรานี้คิดให้ดีก็น่าขำ อยากจำ กลับลืม อยากลืม กลับจำ”
รู้สึกว่าวันนี้จะคิดเชื่อมโยงไปหลายเรื่องจนชักจะออกนอกเรื่อง กลับมาสรุปว่าไม่ว่าเราจะทำอะไร อยู่ที่ไหน ความคิดของเราเป็นตัวกำหนดสภาพจิตใจของเราให้สุข ให้ทุกข์ หากเราเป็นคนที่มีหน้าที่ช่วยทำให้พนักงานที่ทำงานร่วมกับเรามีความสุขในการใช้ชีวิตในที่ทำงาน ตัวเราเองคงต้องมีความสุขก่อนจึงจะไปแบ่งปันความรู้สึกนี้ให้เขาได้ เหมือนกับที่วันนี้เราไปขอแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเพื่อนพนักงานที่ต้องทำกิจกรรมเกี่ยวกับโครงการเพื่อ Innovation หลายคนก็มีความเห็นตรงกันว่า บรรยากาศในการมาแลกเปลี่ยน เรียนรู้ เพื่อสร้างสรรค์ต้องเป็นบรรยากาศที่ทำแล้วสนุก ไม่เครียด ก็เลยหนีไม่พ้นที่คนทำหน้าที่เป็นคุณอำนวยจะต้องไปหากลยุทธ์มาสร้างบรรยากาศให้ทำแล้วได้ดี มีทั้งสาระ และความสุขใจไปด้วยพร้อมๆ กัน
สวัสดีค่ะ อ.ขจิต
ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงด้วยความจริงใจ สำหรับคำชมค่ะ ยินดีสำหรับการมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันค่ะ ได้รับความรู้จากสมาชิกใน web นี้ดีมากๆ ค่ะ เหมือนเราได้รู้จักเพื่อนเพิ่มมากขึ้น