คาถาที่ ๖ ในมงคลสูตร คือ
ก่อนจะขยายความคาถานี้ ผู้เขียนจะทบทวนแนวคิดพื้นฐานนี้อีกครั้ง....กล่าวคือ ในสามคาถาเบื้องต้นจะเป็นความสำคัญในช่วงปฐมวัย โดยในคาถาแรกจะเป็นการวางหลักความเจริญก้าวหน้า... คาถาที่ ๒ จะเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ นั่นคือ ตั้งแต่แรกเกิดควรจะเป็นอย่างไร... คาถาที่ ๓ จะว่าด้วยการเตรียมตัวเองเพื่อจะได้ดำรงชีวิตที่ดีต่อไปในภายภาคหน้าว่าควรจะเป็นอย่างไร...
คาถาที่ ๔-๖ จะเป็นความสำคัญในช่วงมัชฌิมวัย ซึ่งเป็นวัยที่เริ่มทำงานมีครอบครัว... โดยในคาถาที่ ๔ จะเป็นการจัดลำดับความสำคัญในการดำเนินชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่จะต้องกระทำ... และคาถาที่ ๕ จะเป็นการกระทำบางอย่างเพื่อสังคม อันเป็นสิ่งที่ควรจะกระทำตามความเหมาะสม...
ผู้เพิ่งแรกเข้ามาอ่านหรือต้องการทบทวนสามารถย้อนรอยไปดูของเก่าได้ตามลำดับ....
ในคาถาที่ ๖ นี้ เป็นธรรมสำหรับผู้ที่กำลังจะสู่ปัจฉิมวัย คือเริ่มจะเข้าสู่บั้นปลายชีวิต... ซึ่งช่วงนี้อาจเทียบอายุประมาณ ๓๕-๔๕ ปี.. นั่นคือ คนวัยนี้ จะผ่านสิ่งต่างๆ มามากแล้ว เริ่มมีลูกหลาน หรือมีลูกน้องลูกศิษย์ ตามสถานภาพ.... บางคนอาจประสบความสำเร็จบ้างแล้ว บางคนก็อาจยังไม่ประสบความสำเร็จเลยก็มี...อีกนัยหนึ่ง สุขภาพของคนวัยนี้ก็เริ่มอ่อนแอ ร่างกายบางอย่างก็อาจเสื่อมไปตามสภาพ หรือบางคนก็อาจกลายเป็นผู้พิกลพิการมิได้สมประกอบดังเช่นสมัยก่อน...เป็นต้น....
บรรดาคนในวัยนี้...ผู้ประสบความสำเร็จในทรัพย์สินเงินทองและยศถาบรรดาศักด์ ก็อาจหลงระเริง มัวเมา ไม่เกรงกลัวสิ่งหนึ่งสิ่งใด... บางคนมีปัญหาประแดประดังเข้ามา ไม่สามารถยืนหยัดกับความเป็นจริงได้ก็อาจเข้าหาสิ่งเสพติดหรืออบายมุขต่างๆ เพื่อให้สิ่งเหล่านั้นมาคอยหลอกหลอนเพียงเพื่อหลีกหนีจากความเป็นจริงไปวันๆ... ประมาณนี้
ดังนั้น ในคาถานี้จึง กำหนดว่า ให้งดเว้นจากบาป ให้รู้จักสำรวมจากการดื่มน้ำเมา และไม่เป็นผู้มัวเมาในสิ่งต่างๆ....
อนึ่ง เพราะมีลูกมีหลาน มีลูกน้องลูกศิษย์... นั่นคือ คนวัยนี้จะมีสถานภาพเป็นพ่อแม่ หัวหน้า หรือครูบาอาจารย์ ซึ่งก็ต้องประพฤติตัวเพื่อเป็นแบบอย่างต่ออนุชนเหล่านั้น ดังนั้น การงดเว้นจากบาป การสำรวมจากการดื่มน้ำเมา และการไม่มัวเมาในธรรมทั้งหลาย จัดว่าเป็นคุณธรรมเบื้องต้น ที่คนวัยนี้จะต้องประพฤติให้ได้เพื่อเป็นแบบอย่างต่ออนุชนเหล่านั้น....
ดังนั้น คาถานี้ ผู้เขียนจึงให้ชื่อว่า ตัวแทนทางศีลธรรม ซึ่งเห็นว่าเป็นประเด็นสำคัญที่สุดในคาถานี้....
ส่วนรายละเอียดจะนำมาเล่าในครั้งต่อไป...
กราบนมัสการหลวงพี่ BM.chaiwut ค่ะ
รู้สึกว่าจะมีการเขียนในส่วนนี้ผิดใช่ไหมคะ ไม่มัวมัว ดิฉันอ่านดูในเนื้อความ น่าจะเป็น "มัวเมา"
ถ้าแก้แล้วหลวงพี่ลบความเห็นนี้ได้เลยค่ะ
ขออนุโมทนาต่อความละเอียดรอบคอบของคุณโยมอาจารย์...
อาตมาได้แก้ไขเรียบร้อยแล้ว...
คำว่า มัวเมา หรือ เมามัว อาตมาแปลมาจากคำว่า อัปปะมาโท ซึ่งเรามักแปลกันทับศัพท์ว่า ความไม่ประมาท...
กำลังนึกเล่นๆ ว่าจะเขียนเรื่องอะไรดี... พออาจารย์ทักท้วง ก็มีบางอย่างแว๊บขึ้นมาในคลองความคิด... จะเสนอคำว่า ประมาท ในเรื่องเล่าภาษาบาลี...
เจริญพร