พี่จุดขอเล่าเรื่อง Discharge Planning ที่บรรยายโดย คุณสุห้วง พันธ์ถาวรวงศ์ ต่อนะคะ เธอให้ชื่อตอนนี้ว่า Discharge Planning ตอน Life Style ค่ะ
คนไข้รายนี้มา รพ. ด้วยเรื่อง อุบัติเหตุจากมอเตอร์ไซต์ล้ม เป็นผลทำให้คนไข้ถูกเจาะคอและใส่เครื่องช่วยหายใจ รักษาอยู่ที่ รพ. นานกว่า 2 เ ดือนแล้ว จากระดับคะแนนโคม่า ที่ต่ำมาก จนเดี๋ยวนี้ค่าคะแนนโคม่า เพิ่มมากขึ้น แต่ปรากฎว่าคนไข้ยังมีปัญหาเรื่องหย่าเครื่องช่วยหายใจไม่ได้เลย
คนไข้ ผอม ลงมาก น้ำหนักจาก 27 กก. เหลือแค่ 22 กก. ช่วงแรกที่ให้อาหารทางสายยางก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่มาช่วงหลังๆ เมื่อให้อาหาร จะอ๊วก ตลอดเลย ผอมมากจนเห็นหนังหุ้มซี่โครง ในการดูแลรักษาคนไข้ เราได้ใช้กระบวนการ C3 THER ร่วมด้วยช่วยกันในทีมสาขาวิชาชีพ เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ช่วยกันดูแลคนไข้ให้ถึงที่สุด ดังเช่นคนไข้รายนี้
= ช่วงแรกหมอสั่งให้ pan 300 ซีซี x 4 มื้อ แต่พี่สุห้วงเสนอความคิดเห็นว่า ปริมาณ 300 ซีซี / มื้อ จะมากเกินไปสำหรับคนไข้เด็กที่มีน้ำหนัก 27 กก. หรือไม่
= หมอจึงลดปริมาณนมต่อมื้อลง แต่เพิ่มจำนวนมื้อมากขึ้นแทนเป็น pan 200 ซีซี x 6 มื้อ แต่คนไข้ก็ยังอ๊วก……อีก !!!
= พี่สุห้วงจึงปรึกษาหมอว่า เป็นไปได้มั้ยที่คนไข้ อาจจะแพ้นม……..??
= หมอจึงลองเปลี่ยน จาก นม pan เป็น Blendelige ให้ แต่คนไข้ก็ยัง อ๊วก…… อีก !!!
- พี่สุห้วงจึงปรึกษาหมออีกว่า เราน่าจะลองเจาะเลือด เพื่อดู อิเล็คโตรไลท์ หน่อยจะดี หรือไม่ ?
- หมอเห็นด้วย จึงเจาะเลือดดูค่าอิเล็คโตรไลท์ ปรากฏว่า ค่า K (โปตัสเซียม) ได้ 3.1 หมอจึงสั่งให้โปตัสเซียมคลอไรด์ 15 ซีซี x 3 มื้อ คนไข้ก็ยังอ๊วก…….อีก !!!
- หมอจึงสั่งฉีดยาแก้ คลื่นไส้ อาเจียน เข้าทางเส้นเลือด แต่มันก็ดีช่วงหลังได้รับยาใหม่ ๆ พอให้อาหารทางสายยาง คนไข้ก็อ๊วก…….อีก !!!
- พี่สุห้วงก็นั่งนึกในใจ ได้พยายาม แก้ปัญหาให้คนไข้มา 5 ครั้งแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถคลี่คลายปัญหาได้ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้……..???? ขืนปล่อยไว้อย่างนี้ ค่าคะแนน โคม่าที่เริ่มดี ก็จะกลับแย่ลง ดีไม่ดีการอ๊วกบ่อย ๆ เด๋ยวก็จะสำลัก กลายเป็นโรคปอดบวม อีก ( ของเก่าคนไข้ ก็เคยเป็นปอดบวมมารอบหนึ่งแล้ว กว่าจะดูแลให้ หายได้ ก็เหนื่อย ตอนวัดค่าเพื่อระบายเสมหะออกก็ยากมาก เพราะเด็กก็คือเด็กวัดไม่ได้ พอวัดเสร็จกลับค่าเดิม วัดเสร็จก็กลับค่าเดิมอีก คนไข้มีเสมหะคั่งที่ปอด บริเวณด้านล่าง และ ตรงกลางของปอดซีกขวา คุณสุห้วงต้องขอให้คุณพ่อและพี่ชายคนไข้ผลัดกัน ล็อคตัวเด็กคนละ 15-30 นาที เพื่อให้ปอดด้านขวาขึ้นบน เพื่อจะระบายเสมหะออกมาได้ง่ายขึ้น )
- มีอยู่วันหนึ่ง น้องผู้ช่วยพยาบาล ถือถาด เหยือก อาหารและอุปกรณ์เพื่อจะไปป้อน อาหารทางสายยางให้คนไข้ คนไข้แค่เห็นถาดปุ๊บก็อ๊วกแตกเลย
= น้องผู้ช่วยพยาบาลก็พูดขึ้นมาลอย ๆ ว่า “สงสัยน้องเค้าไม่ชอบนมละมั้ง”
= คุณสุห้วงก็ปิ๊งแว๊บขึ้นมาเลยว่า “ทำไมเราไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้แหะ!” พี่สุห้วงจึง ถามพ่อและพี่ชายคนไข้ เค้าก็บอกว่า น้องคนนี้เกลียดนมเป็นชีวิตจิตใจ ไปโรงเรียนเมื่อไหร่ ครูที่โรงเรียนจะให้นมมาก็จะต้องฉีกทิ้งให้หมากินทุกครั้งเลย
- เมื่อได้คำตอบอย่างนั้น พี่สุห้วงก็ปรึกษาหมอทันทีเพื่อขออนุญาตป้อนข้าวต้มแทน
- หมอก็บอกพี่สุห้วงว่า พี่จะทำยังไงก็ทำเถอะ ขอให้คนไข้รอดก็แล้วกัน
- พี่สุห้วงจึงเบิกโจ๊กมาให้ “ครึ่งถ้วยเนี่ย…..เด็กกินหมดภายในไม่ถึง 5 นาที” พี่สุห้วงจึงขออนุญาตหมอ ถอดสายยางให้อาหารออก
- หลายคนอาจคิดว่าทำไมตอนที่คนไข้คะแนนโคม่าที่ 4 T หรือ 5 T พยาบาลป้อนอาหารทางสายยางให้ ไม่เห็นมีปัญหา คำตอบคือ……ก็ตอนนั้นคนไข้ไม่รู้เรื่องนะซิ แต่ตอนนี้เขารู้เรื่องแล้ว พอเห็นนมปุ๊บก็อยากอ๊วก พอได้นมก็อ๊วกแตก
- พอเปลี่ยนเป็นข้าวต้มได้ประมาณ 1 สัปดาห์เท่านั้นเอง คนไข้ก็เริ่มดีแข็งแรงขึ้น สามารถหย่าเครื่องช่วยหายใจได้เลย
- คุณสุห้วงกลับไปนั่งคิดว่า “Life Style” บางทีเราดูแล้ว เหมือนเป็นเรื่องไร้สาระ แต่มันกลับมีประโยชน์และมีค่าต่อการดูแลคนไข้เป็นอย่างมาก พยาบาลต้องฝึกที่จะต้อง เป็นคนละเอียด หน่อย มองปร๊าดแล้ว อย่ามองผ่านอะไรง่าย ๆ บางทีมันปิ๊งแว๊บ เข้ามาอย่างที่คุณคาดไม่ถึง นอกจากนี้คุณสุห้วงก็นึกไปถึง คำพูดของอาจารย์ประเวศ วะสี ที่เค้าเคยพูดไว้ว่า
“ยุคนี้เป็นยุคของระบบบริการสุขภาพที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์” เมื่อก่อนนี้ระบบบริการสุขภาพที่ทันสมัย อะไรก็ modern nice ไป หมด แต่จริง ๆ แล้ว คน มันไม่ใช่แค่ ไข้ ถ้าคุณ ใช้ระบบบริการที่ 1 นั้นคือคุณรักษาแค่ไข้ของเค้าแต่ถ้าเป็นระบบที่ 2 คุณต้องรักษา ทั้งคนทั้งไข้
ประโยคของ อ. ประเวศ วะสี ข้างต้น ทำให้คุณสุห้วงคิดถึงการดูแลรักษาคนไข้รายนี้ ใช่เลย…….สังเกตมั้ยเราเปลี่ยนแผนการรักษามาตั้ง 5 ครั้งแล้ว แต่เราไม่ได้คิดถึงเรื่องวิถีชีวิตของคนไข้เลย (Life Style) เราเริ่มเรียนรู้และมีประสบการณ์จริงจากการดูแลคนไข้รายนี้
พี่จุดขอสรุปบทเรียนจาก discharge planning รายนี้ สอนให้เราเกิดการเรียนรู้ว่า การดูแลรักษาพยาบาล เราต้องดูแล คน ที่มีทั้งร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ ที่แตกต่างกันไปตามแต่วิถีชีวิต และวัฒนธรรมของแต่ละคนแต่ละครอบครัว อย่าลืมอย่าละเลย ที่จะดูแลเค้าให้ครอบคลุม……ทั้งคนและทั้งไข้ เหมือนดัง พระราชดำรัสของพระราชบิดาที่ตรัสไว้ว่า
“ ฉันไม่ต้องการให้เธอมีความรู้ทางการแพทย์อย่างเดียว ฉันต้องการให้พวกเธอเป็นคนด้วย ”