บุคลิกของลูก...มาจากปัจจัยอะไรบ้างหนอ


อยากเขียนบอกว่า ภูมิใจในตัวลูกๆทั้ง 3 หนุ่มน้อยมากๆค่ะ

ช่วงนี้เป็นเวลาปิดเทอม 3 หนุ่มน้อยบ้านนี้ ไม่มีเรียนพิเศษอะไรเลย ยกเว้นน้องฟุงที่กำลังจะขึ้นป.4 ทางโรงเรียนจัดให้มีการเรียนภาคพิเศษ เพื่อเตรียมตัวเรียนในแบบผู้ใหญ่ขึ้น คือมีครูหลายๆคนสอน แต่เป็นการไปโรงเรียนแบบไม่ต้องแต่งชุดนักเรียน และไม่มีการบ้าน (ค่อยยังชั่วหน่อยนะคะ) และเพิ่งเริ่มไปเดือนนี้เอง หลังจากอยู่บ้านมาเกือบเดือน

น่าประทับใจที่ลูกๆทั้งสามดูแลตัวเองได้ มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่ บางวันคุณแม่ก็ยุ่งมาก (ส่วนใหญ่) ไม่ได้กลับไปดูในเวลาอาหารกลางวัน ทั้งสามคนก็จัดการหาให้ตัวเอง บางวันน้องฟุงก็โดนพี่วั้นใช้ให้ไปซื้อมาให้ บางวันก็เป็นพี่เหน่นบริการ หากวันไหนคุณพ่อทำข้าวผัดให้น้องไปโรงเรียน พี่ๆก็กินข้าวผัดพ่อ ไม่ออกไปไหน เราไม่ได้ติดแอร์ที่แฟลต เพราะเห็นว่าไม่ได้จำ้เป็นต้องใช้ความเย็นขนาดนั้น จึงใช้แต่พัดลม วันไหนคุณแม่กลับบ้านกลางวัน ก็จะสัมผัสได้กับความร้อนระอุที่ลูกๆทนได้ ไม่บ่นเลย (คุณแม่ทำงานในห้องแอร์ เพราะเครื่องทั้งหลายต้องการแอร์) ทั้งสามคนมีความสุขกับการเล่นคอมพิวเตอร์ (สลับกันคนละครึ่งชั่วโมง) เราพ่อแม่เพียงแต่เคยตั้งกฎและบอกเหตุผลว่าทำไมจึงไม่อยากให้นั่งหน้าจออย่างเดียวนานๆ ถึงตอนนี้ลูกก็ตัดสินใจกันเองว่าจะจัดการกับเวลายังไงจึงจะไม่มีผลร้ายกับตัวเอง  เห็นได้ว่า พวกเขารู้จักการดูแลตัวเองได้ดีพอใช้ได้ทีเดียว
ส่วนเวลาที่เหลือถ้าไม่เล่นต่อ Lego ที่พี่เหน่นยังคงเล่นกับน้องฟุงอยู่เสมอ อย่างสนุกสนานและสร้างสรรค์มาก เล่นการ์ด UNO เกมส์ยอดฮิตประจำครอบครัว ก็อ่านหนังสือจากห้องสมุดประชาชนเทศบาลเมืองหาดใหญ่ ที่คุณพ่อไปค้นพบว่า เป็นแหล่งหนังสือชั้นดี เราจึงไปเยี่ยมเยียนขนหนังสือกันมาอาทิตย์ละครั้ง ครั้งละ 4-5 เล่มต่อคน

สัปดาห์นี้เขากำลังฮิต ภาษามือของไทย เนื่องจากคุณแม่เห็นว่าสมัยอยู่ที่เพิร์ธ เด็กๆจะได้เรียนการใช้ภาษามือเพื่อสื่อสารกับเพื่อนที่หูหนวก (ที่โน่นเขาพยายามสนับสนุนให้เด็กได้ใช้ชีวิตร่วมกัน) พอเห็นหนังสือชุดนี้เป็นภาษาไทย เด็กๆก็เลยยืมมาทั้งเซ็ต เอามาเรียนกันเป็นที่สนุกสนาน

ถึงแม้ทั้ง 3 คนจะมีรบรากันบ้าง ก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องไม่ดุเดือดนัก และเข้าใจได้จากบุคลิกของแต่ละคน มองดูความเป็นตัวตนของลูกแต่ละคนซึ่งไม่เหมือนกันเลยแล้ว ก็น่าคิดนะคะว่าเขามีส่วนที่ติดมากับตัวเขาเยอะมาก เพราะเราใช้วิธีเดียวกันในการเลี้ยงดูพวกเขามา แต่

  • เราได้พี่วั้นที่รักการอ่านมากๆ ปิดเทอมนอกจากอ่านหนังสือ textbook เล่มโตด้วยความสนใจ สนุกสนานแล้ว ก็ยังสนใจอ่านงานเขียนของ "ปราบดา หยุ่น" และงานเขียนเกี่ยวกับภาษาไทยอื่นๆด้วย รู้สึกว่าเขาสนุกกับภาษาเสียจริงๆ เย็นลงก็หิ้วอุปกรณ์กีฬาไปว่ายน้ำ เล่นบาส ฯลฯกับเพื่อนๆอยู่ในม.อ.นี่เอง
  • ได้พี่เหน่นที่ใจดี ทำกับข้าวอร่อย คอยช่วยคุณแม่ทำโน่นทำนี่่ ไปไหนไปด้วย ไม่ขยันอ่านหนังสือเรียนมากนัก แต่อ่านสิ่งที่อยากรู้ได้ถ้วนทั่ว ชอบอ่านงานเขียนของ "ปองพล อดิเรกสาร" และมีอีกหลายคน แถมอ่านเร็วพอๆกับอ่านพอคเก็ตบุ้คภาษาอังกฤษของ Dan Brown
  • ได้น้องฟุงที่เรียนรู้เร็ว ช่างพูดช่างคุย ช่างคิด ช่างถาม ชอบอ่านการ์ตูน ชอบหาวิธีการเรียน การทำงาน การเล่นแบบของตัวเอง 

เพิ่งส่งต้นฉบับงานเขียนเรื่องของลูกๆ ในบทความเรื่อง"ย้อนรอย PhD ฯ" ที่เขียนลงวารสาร"สายใยพยา-ธิ" แล้ว ย้อนคิดว่า เราโชคดีที่ใช้วิธีสอนลูกได้ค่อนข้างถูกทาง เพราะลูกเป็นเด็กมีความสุข สนุกสนาน ไม่เอาเปรียบคนอื่น ยินดีช่วยเหลือผู้อื่น เคารพผู้ใหญ่ตามสมควร 

ู้สึกดีใจและชื่นชมลูกทุกครั้งที่พวกเขาได้รับคำชมว่า เป็นเด็กดี เป็นที่รักของเพื่อนเพราะช่วยเหลือเพื่อนดี ความเก่งในด้านการเรียนไม่ใช่เป้าหมายหลักของบ้านเราเลย และเชื่อว่าพวกเขาก็คงได้รับสิ่งที่เราสื่อไปถึงด้วยการกระทำของเราเอง เพราะเราไม่ได้ใช้วิธีสั่งสอนด้วยคำพูดมากมายอะไรนัก

ยังจำได้ไม่ลืมว่า ครั้งหนึ่งที่เมืองเพิร์ธ ขณะที่ลูกๆทั้งสามในวัยแค่ 11, 10 และ 5 ขวบไปเล่นกับสาวน้อยฝรั่งวัย 3 ขวบที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อนเลย ริมแม่น้ำสวอน คุณแม่สาวน้อยนั่งดูอยู่ใกล้ๆ หันมาถามว่า "Are they yours? You have 3 such a beautiful boy" 
ประทับใจมาจนถึงวันนี้ ที่ยังคงมองลูกแล้วก็คิดเช่นนั้นอยู่ ขอบคุณชีวิตนี้ี้จริงๆค่ะ

หมายเลขบันทึก: 89370เขียนเมื่อ 10 เมษายน 2007 01:15 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 มิถุนายน 2012 21:30 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (9)

Yes,such beautiful boys with beautiful minds and finally beautiful spirits as their Mom has been teaching them not by words but by splendid examples !

  • สวัสดีค่ะคุณโอ๋ - อโณ
  • อ่านแล้วมีความสุขกับคุณโอ๋  จังเลยค่ะ  แล้วลูกๆก็เป็นเด็กดีมีคุณภาพทั้ง 3 คน
  • ดิฉันมีลูกกับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นเองค่ะ  (ลูกชายปีนี้อายุ  16  ปีแล้วค่ะ)  เป็นเด็กที่ดีมากๆ  (ประเมินจากคำชมของเพื่อนบ้าน,  คุณครู  ที่โรงเรียน  และความประพฤติในบ้านค่ะ)
  • คุณโอ๋ - อโณ  เป็นคนที่โชคดีมากๆค่ะ

ขอบคุณคำนิยมจากพี่ Handy มากค่ะ บอกลูกว่าเราคิดยังไงกับตัวเขาแล้ว อยากเขียนเอาไว้ให้เขาได้มาอ่าน เมื่อเวลาผ่านไปด้วยค่ะ หวังไว้ว่าพวกเขาจะรักการทำความดี เพราะพวกเขาโชคดีกว่าคนอีกมากมายค่ะ

คุณน่านฟ้าทะเลลม คะ ถ้ามีลูกคนเดียวแล้วเลี้ยงให้เป็นคนน่ารักได้ด้วยนี่ ต้องชื่นชมคุณพ่อคุณแม่ด้วยนะคะ เพราะเวลามีลูกคนเดียว โอกาสที่เราจะเผลอตัวทำให้ลูกเสียนิสัยได้ง่ายกว่ามีหลายๆคนมากค่ะ การรักลูกที่ไม่ถูกทางยังเป็นเรื่องที่เราๆมักจะเผลอทำกันอยู่ ถ้ามีลูกหลายๆคนเราจะรู้สึกตัวได้เร็วกว่าค่ะ น้องอายุ 16 นี่ถือว่าสบายใจได้แล้วนะคะ เพราะเค้าเป็นตัวตนที่แท้จริงของเขาแล้ว เราสบายใจได้ ดีใจกับคุณน่านฟ้าทะเลลมด้วยค่ะ รางวัลชีวิตที่ยิ่งใหญ่อยู่ตรงนี้จริงไหมคะ

ตามอ่าน คุณแม่โอ๋เลี้ยงลูกค่ะ ลูกๆที่บ้านมีลักษณะเด่นของการคิด..แสดงออกมาจากคำถามที่แตกต่าง..ช่างซักช่างถามซะจริง...เป็นคำชมจากผู้ใหญ่ที่พบเจอเธอทั้งสอง...มาจากคุณแม่ที่ขยันตอบและใส่ใจในการไปค้นหาคำตอบให้ลูก..เว้นตอนจะหลับคุณแม่ก็จะหลุดคิว...ไปถามพ่อ...แม่จะนอน..ไป๊!)
คุณ เมตตา ที่น่ารักคะ คิดถึงจัง ขอบคุณที่มาแลกเปลี่ยนเทคนิคค่ะ ลองของคุณโรงเรียนพ่อแม่ที่บันทึก สอนลูกให้รักการอ่าน...ฉบับแม่ขี้เกียจ บ้างสิคะ สนุกน้องๆคุณจิ๊บเลยแหละ
ขอบคุณมากค่ะ คุณโอ๋-อโณ ช่วยโปรโมชั่นให้ด้วยล่ะ ...อายจังเลย เพราะทางนี้เลี้ยงแบบพ่อแม่ขี้เกียจ (พ่อก็พอกันคะ) แถมด้วยสังคมแบบบ้านๆค่ะ
  • บ่ายวันหนึ่งเมื่อเกือบ 17 ปีแล้วมั๊ง ผมไปรับลูกสายไป 15 นาที ปรากฏว่าพอไปถึงหน้าโรงเรียนที่เธอยืนประจำ เธอหายไป ไม่อยู่ตรงนั้น
  • สอบถามใครต่อใครก็ว่าไม่เห็น เดือดร้อนครูทั้งหมดวุ่นกันทั้งโรงเรียน เด็กนักเรียนหายไป เพราะเด็กจะออกจากประตูโรงเรียนได้ต้องมีผู้ปกครองมารับเท่านั้น
  • 2 ชั่วโมงผ่านไปยังไม่พบ ตระเวนไปหาบ้านเพื่อนคนนั้นคนนี้ ไม่มีใครทราบ
  • ตายแน่เลย ผมคงโดนภรรยาและแม่ยายเอาตายแน่เลย เพราะแม่ยายผมจะนั่งหน้าบ้านคอยรับหลานทุกเย็น
  • ไม่มีทางออกจึงตัดสินใจกับครูว่าไปแจ้งความเถอะว่าเด็กหาย
  • ก่อนไปแจ้งความก็โทรกลับบ้าน เพื่อจะบอกว่ามาช้าสักหน่อย โดยยังไม่บอกว่าลูกหายไป
  • พอโทรไปปรากฏว่า เธอรับสายเสียงแจ๋ว...ตายแล้วลูกสามขวัญมาได้อย่างไร ใครมาส่ง มากับใคร มานานหรือยัง ผ่อ ผ่อ (ยาย) ว่าอย่างไรบ้าง..ผมยิงคำถามไม่หยุด
  • ก็ป๊ะป๊ามารับหนูข้าหนูก้เลยเดินกลับบ้านคนเดียวเลย...
  • ตายแล้วลูก...เดินทาอย่างไรรถราเต็มถนนอันตรายจะตาย  มาอย่างไรลูกระยะทางก็ไกล เดินมาได้อย่างไร
  • เธอบอกต่อไปว่า  หนูเดินมานิดเดียว ร้อนทนไม่ไหวเลยเข้าไปที่ร้านข้างถนนขอร้องคุณลุงเจ้าของร้านขับมอเตอร์ไซด์มาส่งค่ะ..
  • ตายแล้ว..ลูก หนูไปรู้จักคุณลุงได้อย่างไร แล้วเขามาส่งหนูถูกหรือ...
  • หนูไม่รู้จักหรอกก็ขอร้องคุณลุงเขา  หนูก็บอกทางคุณลุงมาที่บ้านซี..
  • โอย....ผมจำไม่ลืมเลยเหตุการณ์ครั้งนั้น ตอนนั้นเธออยู่ขั้น ป.5 ครับ
  • เพื่อนฝรั่งบอกว่า เธอเป็นคนมีลักษณะ Independent
  • อีก 4 ปี ต่อมา เธอก็บินเดี่ยวคนเดียวไปเรียน High school ที่ New Zealand จนใครต่อใครบอกว่าปล่อยลูกสาวไปคนเดียวได้อย่างไรกัน แต่เธอก็ไปได้ครับ
  • บัดนี้เธอเรียนที่ ABAC และกำลังไปทำ Lab ด้าน Bio-tech ที่ Brisbane ครับ
  • เพื่อนๆบอกว่า การมีลูกคนเดียวทำให้เขาโตเร็วกว่าเด็กอื่นๆทางด้าน Maturity เพราะอยู่กับผู้ใหญ่ พูดคุยกับผู้ใหญ่มาตลอด
  • ครอบครัวและสิ่งแวดล้อมมีผลมากครับ
  • เลยเอามาแลกเปลี่ยนกับข้อมูลของคุณโอ๋น่ะครับ
  • ผมอยากมีอีกคน เธอบอกว่าไม่เอา เดี๋ยวไม่รักเขา เลยมีเจ้า "สามขวัญ" อยู่คนเดียวจริงๆ

พึ่งเห็น 3 หนุ่มน่ารักครบทีมวันนี้เอง

ลืมแสดงความยินดีกับพี่วั้นนะคะ

ขอแสดงความยินดีกับพี่วั้นและคุณโอ๋ด้วยนะคะ เก่งจริงๆทั้งคุณแม่และคุณลูก

ขอบคุณพี่หมีที่ทำให้ได้กลับมาอ่านบันทึกนี้อีกครั้งค่ะ ใครๆที่รู้จักและสนิทกับ 3 หนุ่มนี่จะบอกได้ว่าพวกเขาตลกกันขนาดไหนค่ะ น้องซินกับน้องซอของพี่หมีก็ได้รับความชื่นชมจากเพื่อนๆด้วยนี่คะ เท่าที่พอรู้มาบ้าง คุณลูกน่ารัก เราคุณแม่ก็พลอยได้ผลบุญไปด้วยนะคะ อิ...อิ...

พี่บางทรายเล่าเรื่องหนู"สามขวัญ"ได้สนุกจังค่ะ มาอ่านอีกทีก็ยังลุ้นระทึกอีกรอบ ป่านนี้เป็น"ด็อกเตอร์" ไปแล้วมังคะนี่

สำหรับคุณ โรงเรียนพ่อแม่ นี่ ไม่ว่าบันทึกไหนที่เกี่ยวกับที่บ้านเป็นต้องได้ยิ้มทั้งนั้นเลยนะคะ เป็นเอกลักษณ์จริงๆ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท