ร่วมกันค้นหาว่าเงิน 900,000 อยู่ไหน

อรรถวุฒิ  ลั่นต้องไม่ให้มีการจัดจำหน่ายน้ำอัดลมในโรงเรียน หลังจากพบเอกสาร ข้อตกลงการอนุญาตให้จำหน่ายน้ำอัดลมในโรงเรียนไม่เป็นธรรม

 

นายอรรถวุฒิ ศิริปัญญา เยาวชนดีเด่นแห่งชาติ และ อดีตประธานชุมนุมคุ้มครองผู้บริโภคได้กล่าวถึงการจำหน่ายน้ำอัดลมในโรงเรียนยุพราชวิทยาลัยได้มีการจัดจำหน่ายมาตั้งแต่ปี 2545 ซึ่งการจำหน่ายน้ำอัดลมในสถานศึกษาถือว่าเป็นการทำลายสุขภาพของนักเรียน ประการที่สำคัญยังได้มีการพบเอกสารหลักฐานข้อตกลงที่ไม่เป็นธรรมกับทางโรงเรียนและผู้บริโภคแต่ผู้บริหารยังอนุมัติ การดำเนินการของผู้บริหารโรงเรียนถือได้ว่าเป็นการทำลายเยาวชนของชาติในอนาคต

นายออรถวุฒิได้กล่าวว่า ในขณะนี้ทางโรงเรียนยุพราชวิทยาลัยได้มีการจำหน่าย น้ำอัดลม ซึ่งการบริโภคน้ำอัดลมในสถานศึกษานั้นถือได้ว่าเป็นโทษแก่นักเรียนในโรงเรียนเป็นอย่างมาก ทางชุมนุมคุ้มครองผู้บริโภคได้ดำเนินการรณรงค์เพื่อไม่ให้นักเรียนบริโภค และยังได้มีการดำเนินการล่ารายชื่อนักเรียนเพื่อให้ทางโรงเรียนประกาศห้ามให้มีการจัดจำหน่ายน้ำอัดลม การดำเนินการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากผู้บริโภคในสถานศึกษาเป็นอย่างดีเยี่ยม

ภายหลังจากการตรวจสอบเพื่อคัดค้านการจำหน่านน้ำอัดลมในโรงเรียนยังได้พบเอกสารหลักฐานข้อตกลงที่ทางผู้บริหารโรงเรียนในช่วงปี 2545 ที่ได้เซ็นอนุมัติสัญญาดังกล่าว ว่าเป็นข้อตกลงที่ไม่เป็นธรรม ในข้อตกลงดังกล่าวยังระบุในแนวการผูกมัดให้โรงเรียนต้องให้สิทธิแก่ผู้แทนจำหน่ายน้ำอัดลมแห่งนี้แห่งเดียว และโรงเรียนมิอาจที่จะบอกเลิกสัญญาได้จนกว่าโรงเรียนจะคืนเงินให้กับบริษัทจำหน่ายน้ำอัดลม เป็นเงินถึง 900,000 บาท

นายอรรถวุฒิ ได้ตั้งข้อสังเกตว่าเงินที่ทางโรงเรียนได้รับ 900,000บาทนั้น ในข้อตกลงกล่าวว่าทางโรงเรียนจะได้รับเงินเพื่อจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์จำนวน 30 เครื่อง และเป็นค่าสวัสดิการครู การจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์หากคิดในแง่มุมหนึ่งราคา 30 เครื่องไม่น่าที่จะมีมูลค่าสูงถึง 900,000 บาท อย่างไรก็ตามข้อตกลงยังระบุว่า ใน900,000 บาทนั้นนอกเหนือจากซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วให้เป็นเงินสวัสดิการแก่ครูและนักเรียน ซึ่งตรงนี้ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าถ้าหากเงินเหลือจากการซื้อคอมพิวเตอร์จริง ๆ ทำไมการดำเนินกิจกรรมของนักเรียนมักมีปัญหาเรื่องงบประมาณไม่เพียงพอ และตลอดการบริหารชุมนุมคุ้มครองผู้บริโภคตั้งแต่ปี 2545 – 2548 มิเคยได้รับงบประมาณโรงเรียน และ ไม่ได้มีระบุไว้ในแผนการดำเนินงานประจำปีของโรงเรียน และประเด็นที่น่าคิดในค่าบำรุงการศึกษาที่โรงเรียนเรียกเก็บจากผู้ปกครองในแต่ละปีการศึกษาก็ได้ระบุถึงค่าบำรุงกิจกรรมของโรงเรียนอยู่แล้ว ทำให้น่าสงสัยว่าเงิน 900,000 บาทที่ใช้ไปนั้นเพื่อนักเรียนจริง ๆ หรือเปล่า

               ยังมีประเด็นที่น่าสนใจอีกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ที่โรงเรียนจัดซื้อนั้นมีการเปิดประมูลบริษัทหรือไม่ และเงินที่ใช้ค่าสวัสดิการครูและนักเรียนมีการบันทึกรายรับรายจ่ายหรือเปล่า หากไม่มีการดำเนินที่ถูกต้องคงต้องร้องเรียนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบว่าการใช้เงิน 900,000 บาทเป็นไปอย่างถูกต้องหรือเปล่า ซึ่งในขณะนี้ได้ประสานงานกับทางนักกฏหมายจาก สคบ. ว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นธรรมหรือเปล่า และ หากข้อตกลงไม่เป็นธรรมผู้ที่อนุมัติหรือเซ็นต้องออกมารับผิดชอบการกระทำดังกล่าวอย่างไรก็ตามแต่การดำเนินการเพื่อหาเงินมาสนับสนุนการซื้อคอมพิวเตอร์ของโรงเรียนดังกล่าวเป็นการดำเนินการที่กำลังทำลายเยาวชนของชาติไปทุกที