เมื่อคุณพ่อมาเยี่ยม


บันทึกนี้แด่คุณพ่อ (แต่ผมรู้ว่าพ่อผมไม่เข้ามาอ่านหรอก :D)

สวัสดีครับ

ไม่ทราบว่าจะมีกี่ท่านที่ติดตามเรื่องเจงกีสข่าน ต้องขอโทษด้วยครับที่ไม่ได้มาเขียนต่อให้จบซักกะที เรื่องของเรื่องก็คือว่าคุณพ่อนั้นได้เดินทางมาเยี่ยมครับ ก็เลยไม่ค่อยมีเวลามาเขียนให้เสร็จครับ

เอาเป็นว่าครั้งนี้ผมมาเล่าเรื่องการเดินทางที่แสนตื่นเต้นของคุณพ่อผม กับเรื่องเล่าที่พ่อสุดที่รักได้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลและเวหามาสั่งสอนลูกสุดที่รักคนนี้ดีกว่าครับ

เรื่องสนุกของคุณพ่อผมนั้นเริ่มตั้งแต่วันแรกที่เดินทางมาหาผมในวันพฤหัสแล้วครับ เมื่อเครื่องบินที่คุณพ่อขึ้นมาจากฮาวายสู่ชิคาโก้เพื่อที่จะต่อเครื่องมาเมืองผมนั้นดีเลย์ ไปสองชั่วโมง เล่นเอาคุณพ่อผมวิ่งหน้าตั้ง (ก็ยังรักเธอ) มาขึ้นเครื่องชนิดที่ประตูปิดไปแล้ว ต้องโทรไปบอกกัปตันว่า เฮ้ยผู้โดยสารคนนึงขอขึ้นเครื่อง คุณพ่อบอกว่านี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ต้องวิ่งขึ้นเครื่อง เพราะว่าคุณพ่อผมนั้นมีเวลาแค่ 10 นาทีเท่านั้นที่จะต้องมาต่อไฟลท์ แถมระยะทางไม่ใช่ใกล้ๆซะด้วย เพราะต้องวิ่งจากสุด terminal 1 มาถึงสุด terminal 2 ของ Chicago O' Hare Airport แต่จะว่าไปคุณพ่อผมก็วิ่งเร็วเหมือนกันนะครับ ถึงภายในเวลาสิบนาทีนี่ไม่ใช่เล่นๆ

ตามกำหนดการแล้วคุณพ่อผมจะมาอยู่กับผมสามวันครับ คือมาถึงวันพฤหัสแล้วก็กลับวันเสาร์ ทุกอย่างนั้นเป็นไปด้วยความราบรื่น จะเสียก็แต่ที่อากาศนั้นดูขมุกขมัว มีฝนตกลงมาพรำๆ ให้ดูเล่นครับ แต่แล้วท้องฟ้าเจ้ากรรมก็มาเปลี่ยนจากฝนเป็นหิมะห่าใหญ่ในวันศุกร์ ตกถล่มเมืองที่ผมอยู่ เล่นเอาเวลาขับรถทีจากที่ใช้เวลา 20 นาที ถึงที่หมายสบายผิดกัน ก็แปรเปลี่ยนเป็นชั่วโมง

ถ้าใครไม่เคยขับรถท่ามกลางหิมะที่ตกหนัก ก็อาจจะไม่รู้ว่ามันเสียวไส้ขนาดไหน คนนั่งอาจจะไม่รู้สึกเท่าไร แต่คนขับที่ชีวิตคนนั่งมาอยู่ในมือกับขานั้นเสียวไส้พิลึกครับ เพราะว่ารถเรานั้นพร้อมที่จะเลื่อนไถลไปได้ตลอดเวลา นี่ยังไม่รวมที่ถนนที่หิมะกองสูง ทำให้ล้อไม่มีแรงเสียดทานที่จะตะกายไปข้างหน้า โอ้ยสาระพัดครับ จากที่คุณพ่อไม่เคยเจอก็มาเจอครั้งนี้แหละครับ คุณพ่อผมถึงกับบอกว่าไม่น่าเชื่อว่ามาอยู่เมืองหนาวนี่มันลำบากขนาดนี้ นี่ยังไม่รวมไปถึงน้ำย่อยที่ออกมาเต้นระบำให้คุณพ่อผมได้หิวข้าวเป็นระยะๆ แถมแต่ละมื้อนั้นไม่ต้องพูดเลยครับว่า ใหญ่มาก

พอถึงตามกำหนดการที่จะต้องกลับ ผมได้ล็อกอินเข้าอินเตอร์เน็ตเพื่อที่จะเช็คอินให้คุณพ่อ ความสนุกบวกโกลาหลก็บังเกิดครับเมื่อโลกที่วุ่นวายขายปลาช่อนของเรานั้นมันเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน หรืออาจจะเป็นโชคของผมก็ได้ที่คุณพ่อนั้นต้องมาอยู่ต่อไปอีกหลายวันเลยทีเดียว เป็นกำลังใจให้ลูกน้อยอย่างอักโขในการต่อสู้กับโลกอันโหดร้าย เพราะว่าเครื่องบินขากลับนั้นดันยกเลิกขึ้นมาเฉยๆ

ไอ้ยกเลิกเที่ยวบินนะผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนะครับ แต่ไอ้ที่ลำบากคือโทรไปที่สายการบินแล้วหาเที่ยวบินใหม่นะสิครับ เพราะผมโทรใช้เวลาเป็นชั่วโมง ก็ไม่มีคนรับ โชคดีที่ตอนเช้าตื่นมาตีห้ามาโทรแล้วมีคนรับในทันที ไม่งั้นผมคงต้องขับรถฝ่าหิมะไปสนามบินเพื่อที่จะเปลี่ยนเที่ยวบินให้คุณพ่อก็เป็นได้ ตอนแรกก็กะจะขอเลื่อนไปกลับวันอาทิตย์ครับ แต่โชคชะตาเล่นตลก เที่ยวบินที่ต่อกลับกรุงเทพนั้นเต็มหมด จะกลับได้เร็วสุดก็วันอังคาร (คุณพ่อผมเพิ่งกลับไปเองครับ ทำให้ผมมีเวลามาอัพเดทบล็อก)

ตลอดระยะเวลาที่คุณพ่ออยุ่นั้นคุณพ่อได้พร่ำสอนหลายๆต่อหลายอย่างครับ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจที่สุดและอาจจะต่อกับเรื่อง Wal Mart ที่ผมได้เขียนไปนานแล้วด้วย

เรื่องของเรื่องก็คือ เดี๋ยวนี้ร้านขายของปลีกใหญ่ๆเช่น Wal-Mart, JC Penny พวกนี้นั้น เน้นระบบ Profit Guarantee แล้วครับ นั่นก็คือสมมติว่าผมขายเสื้อ พวก Wal-Mart ก็ประเมินว่า เนี่ยเขาต้องการกำไรเท่าไร ภายในระยะเวลากี่ปี (โหดเหี้ยมดีไหมครับ) เช่นวอลมาร์ทต้องการกำไร ห้าล้าน ภายในสามปี ผมก็ต้องจ่ายห้าล้านให้วอลมาร์ทไปก่อนเลย ถึงจะมีสิทธิขายได้ ถ้าถึงสามปีแล้วขายไม่ได้กำไรเกินห้าล้าน วอลมาร์ทก็ไม่ให้ขายแล้วครับ shelf นั้นอาจจะเอาไปให้คนอื่นก็ได้หรือถ้าเป็นสินค้าเราก็ต้องเปลี่ยนแบบหรือไม่ก็ทำสัญญาใหม่ แต่ถ้าไม่ถึงสามปีแต่ขายได้กำไรเกินห้าล้าน วอลมาร์ทก็มาทำสัญญาใหม่ครับ จะว่าไปมันก็เหมือนสัญญาเซ้งตึกยังไงชอบกลนะครับ

ดูแล้วผมว่ามันก็ไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไร แต่ก็ช่วยไม่ได้ครับ ในโลกแห่งความเป็นจริงที่ปลาใหญ่กินปลาเล็กนั้น เมื่อมันเป็นแบบนี้ แล้วเขาก็ไม่ง้อเราด้วย ผู้ผลิตไทยคงจะเป็นที่จะต้องถีบตัวเองและพัฒนาศักยภาพของตัวเองให้สูงขึ้น รัฐบาลจำเป็นที่จะต้องมาช่วยสนับสนุนเรื่องระบบ logistics และ supply chain ให้มันสมบูรณ์ที่สุด ในขณะที่ประชาชนคนไทยก็จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ ข้อดี ข้อเสีย ของคำว่าโลกาภิวัฒน์เพิ่มขึ้น

ผมเชื่อว่าหลายๆคนที่เป็นพ่อค้าเป็นผู้ผลิตนั้นคงทราบเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว แต่ในฐานะของนักเรียน เรื่องนี้ดูจะเป็นเรื่องแปลกใหม่และน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับผมมากครับ เพราะว่าในฐานะผู้ผลิต ถ้าจะเอาตัวรอดจาก profit guarantees นั้น นอกจากจะต้องลดค่าใช้จ่ายแบบสุดๆแล้ว อีกวิธีหนึ่งก็คือ จัดการการเงิน และการลงทุนที่สามารถลดความเสี่ยงของตัวเองลงไปได้ แต่น่าเสียดายครับว่า ระบบตลาดหุ้นเมืองไทยนั้นเล็กเกินกว่าที่จะสร้าง hedging strategy ที่มีประสิทธิภาพได้

ว่ามาไกลไปแล้วครับ สำหรับทุกท่านที่อ่านเรื่องเจงกีสข่าน ผมว่าผมน่าจะเขียนจบภายในสิ้นอาทิตย์นี้เป็นอย่างช้าครับ ขอบพระคุณครับ

 

คำสำคัญ (Tags): #wal-mart#ค้าปลีก#พ่อ
หมายเลขบันทึก: 85488เขียนเมื่อ 22 มีนาคม 2007 02:14 น. ()แก้ไขเมื่อ 2 พฤษภาคม 2012 09:36 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (18)

ไปอ่านหนังสือ

เข้ามาเยี่ยม

เจริญพร

กราบนมัสการพระคุณเจ้าครับ

ต้องขออภัยที่มาอัพเดทบล็อกช้าไปหน่อยนะครับ คาดว่าอย่างช้าวันเสาร์ผมคงจะเขียนเรื่องเจงกีสข่านจบครับ เพราะตอนนี้อ่านจบเรียบร้อยแล้วครับ ขอเวลาเคลียร์งานส่วนตัวอีกนิดครับพระคุณเจ้าครับ

กราบนมัสการมาด้วยความเคารพยิ่งครับ

สวัสดีครับ มีอยู่เรื่องหนึ่งที่อยากจะเรียนถามให้ได้มาช่วยตัดสินใจกันครับ ตอนนี้มีหนังสืออยู่ในครอบครองที่ผมคาดว่าจะอ่านเล่มต่อไป (เจงกีสข่านอ่านจบไปแล้วครับ รอแค่เขียนให้จบ)

หนังสือที่อยู่ในความสนใจตอนนี้นั้นมี 3 เล่ม 3 อารมณ์ครับ เริ่มกันด้วย

เล่มแรก เรื่อง Overthrown เขียนโดย Steven Kinzer ออกมาเมื่อปี 2006 หนังสือเล่มนี้ว่าด้วยเรื่องของ CIA ที่ได้พยายามเข้าไปเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศต่างๆทั่วโลกครับ

เล่มที่สอง ว่าด้วยเรื่องสมองล้วนๆ ชื่อว่า Evolve your brain เขียนโดย Dr. Joe Dispenza ออกมาเมื่อปี 2007 ปีนี้เองครับ หนังสือเล่มนี้ว่าด้วยเรื่องสมองล้วนๆ ว่าสมองเรานั้นมีการเรียนรู้อย่างไร มีกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างไร รวมไปถึงว่าถ้าสมองไม่ได้คิด แล้วสมองจะเป็นอย่างไร

เล่มที่สาม เอาใจคนชอบเศรษฐศาสตร์ครับ ชื่อว่า The cash nexus เขียนโดย Dr. Niall Ferguson เล่มนี้ล้าสมัยไปซักหน่อยครับ คือเขียนเมื่อปี 2001 หนังสือเล่มนี้ว่าด้วยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐศาสตร์กับการเมืองตั้งแต่ปี 1700-2000 ครับ

กด text message มาได้ตามสะดวกนะครับ ถ้าไม่มีคนบอก ผมเรื่องอ่านตามใจชอบนะครับ :D

โอโฮ้ ...โบกเครื่องบิน....ให้เปิดประตู....ตื่นเต้นมากคะ

ดิฉันกับเพื่อน ตื่นเต้นสุด แค่เคยโบกรถไฟ

ตอน ตีห้าครึ่ง

ทางไปไทรโยค เมืองกาญจน์

  ไม่ใช่สถานี แต่คนขับใจดีจอดรับเรา.....

   ขอบคุณมากคะ....จะมาอ่านอีกคะ
 

  • ตามมาขอบคุณครับผม
  • ผมได้ที่ Oregon State University แล้วครับ
  • ขอบคุณที่แนะ นำเรื่องต่างๆ
  • Supervisor เก่งมาก
  • เป็น Professor ที่เก่ง ICT และภาษาอังกฤษในด้านการสอนครับ
  • ขอบคุณมากครับ

สวัสดีครับคุณดอกแก้ว

อันนั้นเรื่องของคุณพ่อครับ แต่ผมก็เรื่องสนุกๆปนขำเกี่ยวกับรถไฟเหมือนกันครับ (แต่นั่นมันนานมากแล้วครับ) เรื่องของเรื่องก็คือว่า ครั้งหนึ่งโชคดีได้มีโอกาสไปฝึกงานกับโครงการ IAESTE ได้ไปสเปนครับ พอฝึกงานเสร็จ ก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไปเที่ยวต่อ คุณพ่อก็ติดต่อลูกค้าที่ประเทศโปรตุเกสแล้วก็ฝรั่งเศสให้ครับ

เรื่องสนุกมันอยู่ที่ว่าคุณพ่อบอกว่า ขึ้นเครื่องบินนะมันง่ายนะลูก ลองไปรถไฟเถอะ แน่นอนครับผมก็ไม่ว่าอะไรครับ เอ้าลองดูประสบการณ์ชีวิต

แค่ตอนซื้อตั๋วก็ยากแล้วครับ เพราะว่าคนสเปนนั้นพูดภาษาอังกฤษกันไม่ค่อยได้ เรียกว่าไปซื้อตั๋วตั้งสองสามรอบ ยืนคุยกันนานเป็นชั่วโมงกว่าจะได้ ภาษาก็มั่วทั้งสเปนทั้งอังกฤษหล่ะครับ พอซื้อตั๋วเสร็จ ก็โทรไปบอกคุณพ่อให้บอกลูกค้าคุณพ่อว่า จะไปถึงปอโต้กี่โมง ลูกค้าคุณพ่อจะได้มารับ

พอถึงวันต้องไปจริงๆ ต้องขึ้นรถไฟจากมาดริด  ไปเมือง เมดีน่า แล้วต่อจาก เมดีน่า ไป ปอโต้ โปรตุเกส ความสนุกอยู่ที่ตอนต่อรถไฟจากเมดิน่าไปปอโต้นี่แหละครับ

ตั๋วนั้นบอกว่า รถไฟมา ตีสอง จะไปถึง ปอโต้ตอนเก้าโมงเช้า ในบอร์ดที่เขียนรอบรถไฟ บอกว่า รถไฟจะมาตีสาม แล้วไปถึงปอโต้ตอนเที่ยง โหหหไอ้ผมอ่ะใจไม่ดีแล้วครับ ไม่อยากให้ลูกค้าคุณพ่อรอ ถ้ารอแล้วมีปัญหานะ แย่เลย ที่สำคัญรถไฟจากเมดิน่า ไป ปอโต้ มีรอบเดียวซะด้วย

พอตอนตีหนึ่งครับ รถไฟมาครับ นายท่าสถานีบอกว่า ไปปอโต้ ผมก็ไปถามครับ เอาตั๋วไปโชว์ด้วย ว่าใช่เปล่า เขาก็บอกว่าใช่ครับ ผมก็เลยเดินไปจะไปขึ้น เรื่องมันน่าจะง่ายใช่ไหมครับ

แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิดนะสิครับ เพราะว่าในตั๋วบอกว่าผมอยู่โบกี้ สิบห้า แต่พอเดินไปเรื่อยๆ มันมีแค่โบกี้ สิบสี่ครับ ไม่มีโบกี้สิบห้า

เอาแล้วพระเจ้าช่วย ทำไงดีเนี่ย รถไฟก็กำลังออกไปแล้วครับ ผมจะทำยังไงดี เวลาตัดสินใจแค่เสี้ยววินาที ผมก็กระโดดขึ้นรถไฟไปเลยครับ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ไม่มีที่นั่งด้วย ต้องเบียดๆเขาไป

ผลคือผมไปถึงปอโต้ตอนแปดโมงครับ ไปเร็วกว่าเวลาที่บอกลูกค้าคุณพ่อไปชั่วโมงหนึ่ง โชคดีนะเนี่ยที่ไปแล้วรอดตายกลับมาจนมีชีวิตอยู่ถึงปัจจุบันนี้ได้

มีใครเคยเจอประสบการณ์ประหลาดๆแบบผมบ้างไหมครับ

 

สวัสดีครับอาจารย์ขจิต

ขอแสดงความยินดีด้วยครับอาจารย์

หวังว่าอาจารย์คงจะมีความสุขกับเมืองเล็กๆอย่างโอเรกอนนะครับ แต่ก็ระวังหนาวไว้หน่อยก็ดีนะครับ :D

อ้อ แล้วก็ถ้ามีโอกาสอย่าลืมไปดู อเมริกันฟุตบอลนะครับ ถ้าผมจำไม่ผิด OSU นี่เก่งมากทีเดียวครับ

รถไฟสเปนวิ่งเร็วดีนะคะ ถึงก่อนตั้งชั่วโมง.

แต่เรื่องไม่มีโบกี้ นี่เหมือนเมืองไทยเลยคะ

...และคำแนะนำของคุณพ่อ

นี่ดีจังคะ   สอนให้ท้าทายดี

น่าสนใจและสนุกดีคะ

โดยเฉพาะ คุณพ่อ นี่ แนะนำไม่เหมือนคุณพ่อคนอื่น

เลยคะ 

สวัสดีครับคุณดอกแก้ว

จริงๆแล้วผมว่าตอนนั้นผมมั่วมากครับ เพราะว่าที่สถานีรถไฟตอนนั้นมีคนอยู่เต็มไปหมดเลยครับ ให้ผมเดา ผมก็เดาว่าเขาคงจะไปกับผมหลายคนทีเดียว

แต่ยังไงไม่รู้ครับ มีผมหน่อเดียวแหละครับที่โดดขึ้นรถไฟไป โชคดีนะครับที่ถึงก่อน ไม่งั้นนะแย่เลยครับ เพราะตอนที่ผมไปนั้น เงินยูโร ยังไม่ออกครับ แถมวันอาทิตย์ด้วย เงินโปรตุเกสก็ไม่มีสักแดง มีแต่เงินสเปนกับเงินเหรียญ

ถ้าไม่ไปถึงช้ากว่าที่บอก แล้วลูกค้าคุณพ่อไม่รอ ผมก็ยังนึกไม่ออกเลยครับว่าจะต้องทำยังไง

อยากให้คุณ ไปอ่านหนังสือ อ่านเรื่องที่เป็น CIA ก่อน น่าสนุกดี แต่ถ้าอ่านเรื่องอื่นไปแล้วก็ไม่เป็นไร จะรออ่านครับ ขอบคุณครับ

ปล. ชอบบทความนี้มาก เล่าได้สนุกดี :D

สวัสดีครับ คุณเด็กผู้ชาย

ขอบคุณมากครับที่ได้แวะเข้ามาอ่าน

ทั้งสามเรื่องผมก็อยากจะอ่านหมดแหละครับ เรื่อง Overthrown นี่เห็นหน้าปกก็หยิบแล้วครับ ถ้าไม่มีใคร text message request เข้ามาใหม่

ผมก็จะอ่านเล่มนี้แหละครับ อ้อลืมบอกไปว่า ให้เวลาถึงตอนผมเขียนเรื่องเจงกีสข่านจนจบนะครับ ซึ่งก็คือประมาณวันเสาร์ครับ

(เฮ้อโล่งอก อย่างน้อยมีคนมา text message ผมแล้ว :D)

 

  • มาเยี่ยมก่อนครับ  แต่บันทึกยังไม่ได้อ่านครับ
  • เดี๋ยวจะกลับมาอ่านนะครับ

สนใจเรื่อง The cash nexus ค่ะ ตามประสาคนเรียนการเงิน

 

สวัสดีครับอาจารย์ย่ามแดง

ว่างเมื่อไรก็เชิญมาอ่านตามสบายครับ แล้วก็ขอบคุณมากครับที่สละเวลามาเยี่ยม :D

 

สวัสดีครับคุณเอ๋

เรื่อง The cash nexus นี่น่าสนใจมากครับ เพราะ Dr. Ferguson เริ่มเขียนตั้งแต่เก็บ tax ออกบอนด์เลย แต่ต้องขอเรียนไว้ก่อนนะครับว่า เล่มนี้เป็นเศรษฐศาสคร์การเมืองล้วนๆครับ อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คาดหวังว่าจะเป็นเศรษฐศาสตร์การเงินมากนะครับ

ขอบคุณมากครับสำหรับข้อคิดเห็นและการติดตามครับ :D

อ่านแล้วลุ้นไปกับคุณพ่อเลยค่ะ  แต่คำว่า  profit guarantees  เนี่ยถ้าพูดระบบทุนนิยมก็คือปลาใหญ่กินปลาเล็ก แต่สำหรับคำนี้มีทั้งผลดีและผลเสียค่ะ ประเทศไทยต้องศึกษาดี ๆ ไม่งั้นจะกลายเป็นดาบสองคม

 

สวัสดีครับอาจารย์Ranee

ขอบพระคุณมากครับที่ได้ติดตามอย่างเสมอมาครับ

คำว่า profit guarantees นั้น คงจะเป็นคำว่าทุนนิยมเลยครับ แต่เดี๋ยวนี้คำว่า guarantees นั้นมีใช้ให้เกลื่อนนะครับ ไม่ว่าจะเป็น customer's satisfaction guarantees ซึ่งถ้าจะยกตัวอย่างเรื่องสายการบินที่คุณพ่อผมบิน เขาคงตกครับ

เพราะว่าหลังจากที่เที่ยวบินของคุณพ่อถูกยกเลิก ผมใช้เวลาโทรไปหาสายการบินเป็นชั่วโมงยังไม่ได้คุยเลยครับ

ตอนนี้ที่กำลังฮิตอีกคำก็คือ performance guarantees ครับ performance guarantees เป็นการรับประกันว่าสินค้าที่เราซื้อไปนั้น สามารถผลิต หรือทำงานได้ตามที่เรากำหนด เช่นซื้อรถ แล้วซื้อ performance guarantees ว่ารถคันนี้จะวิ่งได้ 30000 กม ต่อปี ถ้าซื้อแล้ววิ่งไม่ได้ หรือวิ่งไม่ถึง ผู้ผลิตก็จะเสียค่าปรับให้เราครับ ตัวนี้ใช้เยอะมากสำหรับพวกเครื่องบิน gas turbinesที่ผลิตไฟฟ้า อุปกรณ์การแพทย์ครับ

ถามว่าการรับประกันดีไหม ก็ดีครับ เพราะยังไงก็เป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย

แต่ระบบ profit guarantees ที่เน้นจ่ายก่อนนี่ น่ากลัวมากครับสำหรับผู้ผลิต เพราะว่ามันเหมือนการจ่ายค่าเช่าสล็อตในการขายนะครับ

ผมมองว่าระบบนี้จะทำให้เกิดการวิจัยเรื่องความต้องการของผู้บริโภคก่อนตัวสินค้าจะไปวางขายมากขึ้นนะครับ เพราะว่าคงไม่มีใครอยากเสียเงินก้อนใหญ่ไปก่อน โดยที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

อีกอย่างหนึ่งที่จะเกิดตามมาก็คือระบบไดเรกเซลล์ หรือขายตรงอาจจะเฟื่องฟูนะครับ เพราะว่าไม่ต้องมาเสียค่า profit guarantees มหาโหดครับ แต่ถ้าจะทำได้นั่นก็หมายความว่าบริษัทต้องมีแบรนด์เนมของตัวเองที่ดีพอสมควรทีเดียว ซึ่งก็คงจะต้องค่อยๆพัฒนาและค่อยๆเป็นค่อยๆไปครับ

แต่ทั้งหมดก็เห็นภาพรวมได้อย่างเดียวครับคือ การแข่งขันที่สูงและผู้ผลิตต้องมีการพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลาครับ

ผมนี่ทึ่งคุณจริงๆ

เป็นกำลังใจให้คุณ ทำหน้าที่สร้างสรรค์สังคมแบบนี้ต่อไปนานๆ ครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท