จาก “อานุภาพแห่งความรัก” สู่ความเข้าใจในชีวิต


ได้รู้สึกถึง “อานุภาพแห่งความรัก” ของคนในครอบครัว เป็นเรื่องเล่าที่หลากหลายอารมณ์ มีทั้งบู๊ ทั้งบ้า ทั้งตลก ทั้งเศร้าและซึ้ง เป็นเรื่องเล่าอีกเรื่องหนึ่งที่เขย่าใจผม ทำให้ผมต้องเสียน้ำตาออกมาอีกจนได้

        เมื่อวานผมได้ไปร่วมงาน HA Forum ครั้งที่ 8  ที่ศูนย์การประชุม  Impact เมืองทองธานี พอดีผมต้องไปบรรยายหัวข้อ “HR-Heart Revolution : เริ่มกันที่ใจ  ในห้องประชุม 2 ช่วงเวลา 8.30-10.00 น. หลังจากบรรยายเสร็จก็ได้ใช้เวลาอยู่ที่นั่นทั้งวันเพราะถือว่าเป็นโอกาสสำหรับการเรียนรู้ที่ดีมากๆ ได้มีโอกาสฟังวิทยากรชื่อดังที่หลากหลาย ในระหว่างเวลา 10.30 12.00 น. เป็นช่วงที่อาจารย์ ดร. ยุวดี เกตสัมพันธ์ นำการอภิปรายในหัวข้อ “Balance of Professional Collaboration & Empowerment”  ผู้อภิปรายประกอบด้วย คุณหมอรัตนา  และคุณโสภา จาก รพ.อู่ทอง คุณจุฬาพร  และอาจารย์หมอวิรุณ บุญนุช จากศิริราช ผมว่าเป็น Session ที่สนุกและได้ประโยชน์มาก ได้เรื่องเล่าดี และมีนิทานหลายเรื่องที่เอาไปใช้ต่อได้ ได้ฟังอาจารย์หมอวิรุณ ที่พูดได้อย่างเป็นธรรมชาติและได้บรรยายกาศที่ดีมาก

        ช่วงบ่าย เวลา 13.00 14.30 น.  ผมเลือกที่จะอยู่ฟังห้องประชุม 2 ต่อ  เพราะหัวข้อน่าสนใจมาก คือ สัมผัสใจ ด้วยใจ (Heart to Heart)" ผู้อภิปรายประกอบด้วย อาจารย์หมออานนท์  อาจารย์หมอจารุรินทร์ ที่คณะแพทย์ฯ มอ. และอาจารย์ ดร. กำพล   แสวงบุญสถิต จากนิด้า เป็นการเสวนาที่น่าสนใจมาก  ผมชอบการออกแบบของ Session นี้  เพราะเหมือนกับมีการตระเตรียมเป็นอย่างดี  อาจารย์หมอสองท่านทำเหมือนกับพูดคุยกัน โดยมีการใช้สื่อนำเสนอของอาจารย์หมออานนท์ประกอบ ผมชอบสื่อการสอนของท่านมาก คงต้องไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์เวลาที่ไป มอ.  เพราะท่านใช้ Animation ได้ดีจริงๆ อีกจุดหนึ่งที่ผมชอบก็คือ  นอกจากหมอสองท่านจะคุยกันแล้วยังมีอาจารย์กำพล ซึ่งเชี่ยวชาญเรื่องการสื่อสาร  มาคอยเสริม คอยสะท้อนมุมมองด้านวิชาการอีกด้วย ผมรู้สึกว่าได้ประโยชน์จาก Session นี้มากจริงๆ

        ช่วงสุดท้ายของวันนี้ (เวลา 15.00 16.30 น.)  ผมเปลี่ยนไปอยู่ที่ห้องประชุม 6  หัวข้อก็คือ คนต้นแบบ   ตอนแรกที่ดูหัวข้อก็ยังไม่แน่ใจว่าเขาจะพูดเรื่องอะไรกัน  แต่หนึ่งในคนต้นแบบที่ว่านั้น ก็คืออาจารย์หมอปารมี จาก มอ. อีกสามท่านประกอบด้วย คุณสุห้วง จาก รพ. ชุมพรฯ    คุณวนิดา  จาก มช.  และอาจารย์หมอสิรินทร  จาก รามาฯ Session นี้ดำเนินรายการโดย อาจารย์หมอชเนนทร์ วนาภิรักษ์  จาก มช.    ผมประทับใจในการจัดคิวของอาจารย์ชเนนทร์มาก เพราะท่านเริ่มจากเรื่องของอาจารย์ปารมี  ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้เห็นความเป็นองค์กร เห็นการพัฒนางาน การพัฒนาคน  ถือว่าเป็นต้นแบบเป็นตัวอย่างของการพัฒนาองค์กร ที่ใช้เครื่องมือที่หลากหลายไม่ว่าเป็นหลักการ CQI  หรือ KM ก็ตาม

        หลังจากนั้นคุณสุห้วงได้เล่าถึง Case คนไข้ที่ขี่มอเตอร์ไซด์ แล้วถูกคนขับรถเมาสุราชนจนเป็นเหตุให้ต้องถูกตัดขา  โดยเล่าให้เห็นถึงสภาพของความสิ้นหวังจนกลับมามีกำลังใจอีกครั้งหนึ่ง   นับเป็นเรื่องเล่าที่เร้าพลังยิ่ง ผมชอบที่คุณสุห้วงพูดว่า  แค่รับรู้ นั้นไม่พอ ต้องรู้สึก และต้องรู้สึก  นอกจากนี้ยังมีคำพูดที่ว่า เมื่อไรก็ตามที่เราทำสิ่งดีๆ ก็จะมีความสุขใจ และในชีวิตก็จะมีแต่เรื่องดีๆ เกิดขึ้นเสมอ 

          เรื่องที่สามเป็นเรื่องที่คุณวนิดา  เล่าให้ฟังถึงแม่ (ที่เป็นสาวชาวเขา) ที่ไม่ต้องการลูก  คลอดลูกแล้วก็ยกให้ผู้อุปถัมภ์ ไม่ยอมแม้แต่จะจับอุ้มลูกน้อย  แต่คุณวนิดาก็ได้พยายามทำทีละเล็กทีละน้อย  จนกระทั่งยอมจับ ยอมอุ้ม ยอมให้ลูกดูดนม เพราะทางคุณวนิดาบอกว่านี่คือการให้ภูมิต้านทานที่ดีที่สุดแก่เด็ก  คุณวนิดา บรรยายถึงอารมณ์ความรู้สึกระหว่างแม่กับลูก จนถึงจุดที่แม่เปลี่ยนใจไม่ให้ลูกไป ที่ทำให้ผมถึงกับน้ำตาซึม

          เรื่องสุดท้ายเป็นเรื่องของอาจารย์หมอสิรินทร ที่ได้เล่าเกี่ยวกับประสบการณ์คนไข้สูงอายุที่เป็นโรคสมองเสื่อม  ทำให้ได้เห็นความลำบากยากเย็นของญาติที่ต้องคอยดูแล ทำให้ได้เห็นความไม่เที่ยงของชีวิต ได้รู้สึกถึง อานุภาพแห่งความรัก ของคนในครอบครัว เป็นเรื่องเล่าที่หลากหลายอารมณ์ มีทั้งบู๊ ทั้งบ้า ทั้งตลก  ทั้งเศร้าและซึ้ง เป็นเรื่องเล่าอีกเรื่องหนึ่งที่เขย่าใจผม ทำให้ผมต้องเสียน้ำตาออกมาอีกจนได้         

        นับเป็นหนึ่งวันแห่งความซาบซึ้งใจ หนึ่งวันแห่งการเรียนรู้ หนึ่งวันเพื่อการดูตัวเอง ทำให้ได้เห็นชีวิตที่ชัดขึ้น ทำให้ไม่หลุดไปในมายา  ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นคือความจริง แต่การรับรู้ของเรานั้นรับมาเพียงบางส่วน  แล้วเราก็เอาสมมติฐาน/ประสบการณ์ (หรือความรู้เดิม) ที่เรามีอยู่ใส่เพิ่มเข้าไป  แล้วก็เข้าใจว่ามันเป็นความจริง ทั้งๆ ที่มันคือความจริง Version ของเรา  หากเราเข้าใจกระบวนการนี้ เราก็จะเข้าใจดีว่าอะไรคือสิ่งที่เป็นความจริง ผมขอขอบคุณท่านวิทยากรใน HA Forum ทุกท่านที่ทำให้ผมเข้าใจชีวิตนี้ชัดขึ้นมาเรื่อยๆ ...ขอบคุณครับ

หมายเลขบันทึก: 84441เขียนเมื่อ 16 มีนาคม 2007 16:49 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 เมษายน 2012 08:02 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (13)

ครับ...อาจารย์

อานุภาพแห่งความรัก ทรงพลังเสมอครับ ยิ่งเวลาที่มีทุกข์แล้ว อานุภาพนี้จะช่วยให้เราผ่านมันไปง่ายขึ้นครับ...

ขอบคุณครับ...

เห็นด้วยค่ะกับ คุณ Direct ค่ะ

...แค่..รู้สึก..รัก.. ก็สุขพอแล้วค่ะ...

เราทุกคนล้วนมีเมล็ดพันธุ์ของความรักอยู่ในตัว...

เราสามารถพัฒนา...ให้เมล็ดพันธุ์นี้เจริญงอกงาม

เป็นต้นที่สวยงาม...ของชีวิตได้...

ซึ่ง...เป็นการบ่มเพาะความรักที่ปราศจากเงื่อนไขใดใดทั้งสิ้น...

หากแต่ในปัจจุบัน...เราต่างลืมความงดงามแห่งเมล็ดพันธุ์ที่สวยงามนี้...

และต่างๆ ไปมุ่งหวัง...เพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความเห็นแก่ตัว...ที่รักแล้วต้องคาดหวังสิ่งตอบแทน...

.....

เมล็ดพันธุ์แห่งความรัก...ที่แท้นั้น คือ รักที่ไร้เงื่อนใดใด...บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์นี้ในชีวิตเราอย่างไร้เงื่อนไขว่าจะได้สิ่งใดตอบแทน....โลกใบน้อยแห่งชีวิตเราก็จะสงบมากขึ้นค่ะ...

ขอบคุณสำหรับบันทึกนี้ของอาจารย์ค่ะ...กะปุ๋มเชื่อว่าสามารถและสะกิด..ใครได้อีกมากมายเลยค่ะ...

(^_______^)

กะปุ๋ม

ผมได้ลองนำ KM ไปใช้ดู โดยใช้ในกลุ่มคนทำห้องสมุด เพื่อนำไปพัฒนาห้องสมุดในโรงพยาบาล

 ผมได้เลือกคนที่มีใจรักการอ่าน รักในหนังสือมาเป็นสมาชิก แล้วก็ได้นำ KM แบบที่อาจารย์ได้บรรยายให้ผมฟัง เปรียบ KM เป็นปลาทู มีหัวปลา vision ตัวปลา หางปลา ก็ได้เล่าให้สมาชิกในกลุ่มห้องสมุดฟังว่า KM เป็นยังไง

ผมได้เล่าถึงประสบการณ์สมัยยังเรียนที่เป็นสมาชิกชมรมกีฬา ทุกๆคนอยู่กันอย่างพี่น้อง งานในห้องช่วยกันทำ อยู่กันอย่างมีความสุข ผมอยากให้กลุ่มคนทำห้องสมุดเป็นอย่างที่ผมได้เคยประสบมา

จากนั้นผมก็ให้สมาชิกแต่ละคนเล่าประสบการณ์ว่าเคยมีหรือเคยเป็นสมาชิกอะไรบ้างไหม ที่ทำให้รู้สึกแบบนี้ ไหนมา share ให้ฟังหน่อย

ลำดับถัดไปก็ให้สมาชิกแต่ละคนช่วยกันกำหนด vision ของห้องสมุดเราว่าอยากให้เป็นแบบใด

มาช่วยกันกำหนด ปัจจัยที่ทำให้ได้ตาม vision ที่เราต้องการ สรุปออกมาได้ 4 ข้อ

1. สิ่งแวดล้อม
2. ระบบจัดเก็บหนังสือ
3. ระบบยืมหนังสือ
4. ต้องมีหนังสือน่าสนใจ มีการรับหนังสือใหม่ๆเข้ามา

พอมาถึงจุดนี้ เรามาดูกันทีละข้อว่าแต่ละปัจจัยเราจะพัฒนาอะไรก่อนอะไรหลัง ทำอะไรได้บ้าง ทุกๆคนมีความคิดว่าจะทำอย่างไร

จุดเปลี่ยนมันมาอยู่ที่ งานแต่ละงานที่ต้องทำ ล้วนต้องใช้เวลา มันกลายเป็นงานใช้แรงงานละ ยกตัวอย่างเช่น ต้องมาคีย์รายชื่อหนังสือ ผู้แต่ง ทุกเล่มลง computer (หนังสือไม่เยอะมาก แต่ก็ไม่ต่ำกว่า 100 เล่ม).......... ต้องมาทำกระดาษยืมแปะหลังหนังสือทุกเล่ม..........และอื่นๆเหล่านี้

ผมอยากถามว่าจะทำเช่นไร ให้ทุกคนไม่เอาแต่คิด ไม่เอาแต่ออกความเห็น พอถึงเวลาทำก็ไม่มีใครอยากรับเป็นเจ้าภาพไปทำ จะแก้ไขอย่างไรครับ

ปล........ สิ่งที่เล่ามาทั้งหมด ยังไม่ได้นำไปปฎิบัติจริงเพียงแต่จินตนาการขึ้นมาจากประสบการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในบริบทอื่น(เช่น การเขียน unit profile ทุกคนมีความคิด พอถึงเวลาเขียนไม่มีใครอยากเขียน, งานจัดบอร์ด ทุกคนมีความคิดเรื่องบอร์ด ถึงเวลาไม่มีใครอยากเป็นคนจัด)

ขอบคุณมากครับ

อ่านที่อาจารย์เล่าแล้ว เสียดายจังที่ไม่ได้ฟังเข้าฟังsession Heart to Heart   เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ อ.หมออานนท์ ที่คนที่เตรียมสื่อประกอบการนำเสนอได้ดีมากๆ แล้วก็พูดเก่งด้วย โดยเฉพาะเวลาแจมกับอ.หมอจารุรินทร์

Session "คนต้นแบบ" เป็น session ที่ชอบมากที่สุด session หนึ่งในการประชุมทั้ง 3 วัน  ชอบเพราะเรื่องเล่าของวิทยากร 3 ท่านคือ คุณสุห้วง คุณวนิดา และ อ.หมอสิรินทร เขย่าหัวใจได้อย่างมีพลังจริงๆ

  • ดิฉันอยู่นั่งฟังด้วยค่ะ...และมีพี่ที่นั่งอยู่ข้างๆน้ำตาำไหล...เขาบอกว่ารายการนี้....มีแต่หัวใจรักให้กันค่ะ...
  • และแน่นอนที่สุดค่ะ...ถ้ามีใจรัก(ผู้ป่วย...)..รักที่จะให้ผู้ป่วยหายและปลอดภัย...ก็พยายามหาทุกหนทางที่จะช่วยค่ะสุดแต่โอกาสจะอำนวย...
  • ดิฉันเห็นบุคลากรที่ทำงานลัักษณะนี้มีมากโดยเฉพาะพยาบาล....แต่ไม่มีเวทีให้เขามาแลกเปลี่ยนกันค่ะ...
  • ขอบคุณ พรพ.เช่นกันค่ะ  ที่จัดหาหัวข้อที่ยากต่อการวัดคุณภาพแต่เต็มเปี่ยมด้วยคุณภาพบริการด้วยหัวใจ...เห็นความสำคัญของคุณภาพที่วิทยาศาสตร์และวิจัยเข้าไปจับต้องไม่ได้...
  • อยากให้คนกลุ่มนี้ได้ผลงานทางวิชาการบ้าง..มิใช่จะต้องทำแต่งานวิจัยเท่านั้นค่ะ เพราะโดยบทบาทของพยาบาลเป็นอย่างที่กล่าวค่ะ..จึงหาความก้าวหน้าทางวิชาการยาก..ได้แต่สุขใจค่ะ
  • อาจารย์เก่งจังค่ะ..เก็บประเด็นนำมาเล่าได้หมด
  •  ขอบคุณค่ะ

 

ขอบพระคุณค่ะอาจารย์...ที่แบ่งปันเล่าเรื่องดีๆ ให้พวกเราชาวบล็อคได้ฟังกัน แค่นั่งอ่านก็ยังอดซาบซึ้งตามไปด้วยไม่ได้เลยค่ะ 

ภญ.อาภรณ์ จตุรภัทรวงศ์

ไม่ได้เข้าฟังsession Heart to Heart แต่ดีใจที่เข้าฟัง HR-Heart Revolution ที่อ.เป็นวิทยากรค่ะ ทำให้เข้าใจ KM มากขึ้นแล้วก็ลึกซึ้งกว่าเดิมหลังจากฟังอ.บรรยายแล้ว  คิดว่านำมาปฏิบัติได้ด้วยตัวเองและตั้งใจจะเรียนรู้เพิ่มเติมจาก หนังสือที่อ.เขียน (ซื้อทุกเล่มที่มีขายค่ะ)  จะลองหาประสบการณ์แบ่งปันความรู้ให้คนอื่น ขอคำแนะนำด้วยนะคะ                    มือใหม่หัดขับค่ะ

ไม่ได้ไปแต่มาติดตามจากอาจารย์ค่ะ   อ่านของอาจารย์แล้วทำให้รู้สึกซาบซึ้งไปด้วยค่ะ
จะเข้ามาขออนุญาตอาจารย์พูดถึงการบรรยาย HR Heart Revolution ค่ะ...และขออนุญาตเอารูปหล่อๆลงด้วย(ถ้าทำได้...ตอนนี้ที่บันทึกดิฉันเข้าบันทึกไม่ได้...ใส่รูปก็ยากค่ะ)
ประสิทธิ์ ลิมปวิทยากุล

เผลอไผลหลุดเข้ามาใน Blog ของอาจารย์ จากการตามลายแทงเรื่อง KM ที่หน่วยงานทำ link ไว้ ดีใจที่ได้เข้าอ่าน เข้ามารับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ห้วงหนึ่งของความคิด เมื่ออ่านไปหลาย ๆ เรื่องว่า เหนทิฟ้ายังมีฟ้า เหนือปลาร้ายังมีฝาไห เหมือนกลที่เผลอกระโดดออกจากครอบของกะลายังไงยังงั้นเลยครับ

ขอปวารณาตัวเป็นลูกศิษย์อาจารย์ไว้ ณ ที่นี้เลยครับ แล้วจะเข้าศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอีกเมื่อมีโอกาส

ขอบคุณสำหรับทุกความรู้ที่อาจารย์เผบแผ่ไว้ให้กับสังคมครับ

 

ดีใจที่ได้กัลยาณมิตรเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนครับ คงจะได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับคุณประสิทธิ์ต่อไปนะครับ

...แค่..รู้สึก..รัก.. ก็สุขพอแล้วครับ...แด่ใครบางคนที่ไม่ใส่ใจคนที่รักเขา 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท