อีกกว่า 3 พันชีวิตในพื้นที่รอยต่อระหว่างจังหวัดประจวบฯ และ จังหวัดเพชรบุรี ที่ยังคงประสบปัญหาการถูกละเมิดสิทธิในความเป็นมนุษย์ เพียงเพราะไม่มีเอกสารที่ระบุอัตลักษณ์ความเป็นชนชาติเท่านั้น
บทสื่อสาร โครงการ(คลีนิก)สมุนไพรต้านโรคไร้รัฐ เพื่อหว่านกล้ารักษาโรคไร้สัญชาติ
-
เกริ่นนำ – ความเป็นขององค์กรชุมชนผู้รับผิดชอบและปฏิบัติงานในโครงการ
ศูนย์ศึกษาและพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่น ในเขตพื้นที่ติดแนวชายแดนระหว่างจังหวัดเพชรบุรี และ จังหวัดประจวบคีรขันธ์ กำเนิดขึ้นจากเหตุการณ์อพยพหมู่บ้านสวนทุเรียน อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อเดือน สิงหาคม 2542 โดยกองทัพภาค 1 กองกำลังค่ายสุรสีห์ เพียงคำกล่าวหาพี่น้องชาติพันธุ์ปกาเกอญอ (เผ่ากะเหรี่ยง) ว่าเป็นคนต่างด้าว และบุกรุกพื้นที่ป่าต้นน้ำเกรด A ทั้งที่ชุมชนสวนทุเรียนอยู่อาศัย เกิด และตาย ในพื้นที่ป่าแก่งกระจานมากว่า 400 ปี เหตุการณ์การละเมิดสิทธิชุมชนการอพยพหมู่บ้านครั้งนั้น ทำให้พี่น้องปกากอญอ ในพื้นที่หมู่บ้านสวนทุเรียน บ้านแพรกตะคร้อ บ้านป่าละอู บ้านห้วยแห้ง อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ / หมู่บ้านป่าหมาก กิ่งอำเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และ หมู่บ้านป่าเด็ง ห้วยสัตว์ใหญ่ อำเภอแก่งกระจาน ได้ตระหนักถึงความเป็นชนชาติและชนเผ่ามากขึ้น และทำให้พี่น้องปกาเกอญอ รวมถึงตัวนุช (น.ส.รุจิราพร โชคพิพัฒน์พร ) ได้รู้จักกับบุคคลและองค์กรสำคัญหลายองค์ที่พยายามเข้าไปช่วยเหลือพี่น้องเมื่อปี 2542 จนกระทั่งได้พบกับ รศ.ดร.มารค ตามไท และ รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนจิตรา สายสุนทร ด้วย จึงได้จัดทำโครงการช่วยเหลือประชาชนบนพื้นที่สูงให้มีสถานะที่ถูกต้องตามกฎหมายขึ้น โดยเน้นการทำงานเพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่บุคคลบลนพื้นที่สูงถึงสถานภาพตามกฎหมายที่จะได้รับรวมถึงสิทธิและหน้าที่เมื่อได้มาซึ่งสถานภาพที่แตกต่างกันรวมถึงสร้างกระบวนการการเชื่อมโยงระหว่างชุมชนกับเจ้าหน้าที่รัฐ ในระยะแรก และหลังจากนั้นเมื่อเดือน พฤศจิกายน 2543 ได้มีการรวมตัวกันเพื่อเรียกร้อง สิทธิกลับคืนมาใน นามของศูนย์ศึกษาและพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่น และร่วมมือกันปฏิบัติงานตามโครงการช่วยเหลือประชาชนบนพื้นที่สูงให้มีสถานะที่ถูกต้องตามกฎหมายขึ้น โดยการทำงานอยู่ในภายใต้ความเป็นไปของวิถีชุมชน โดยลักษณะการทำงานเป็นการเรียนรู้และปฏิบัติงานร่วมกันโดยคณะทำงาน 90 เปอร์เซ็น เป็นพี่น้องปกาเกอญอ ที่ประสบปัญหาสถานะบุคคล และทำให้เกิดโครงการสร้างเสริมศักยภาพผู้นำชุมชน ขึ้นด้วยไปพร้อมๆกัน การดำเนินการผ่านมาถึงเมื่อปี 2544 ทางผู้ประสานงานได้รับการยอมรับในการทำงานร่วมกันกับทางหน่วยงานราชการระดับอำเภอ โดยการแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการโครงการพัฒนาชุมชนบนพื้นที่สูง ระดับตำบลและระดับอำเภอ ในตำแหน่งผู้ประสานงานชาวเขา จนกระทั่งปี 2546 ได้รับการยอมรับจากทางจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ให้เจ้าไปช่วยตรวจสอบและคัดกรองบุคคลที่ได้ยื่นคำร้องขอสถานะต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย และบุคคลที่ยื่นคำร้องขอมีสัญชาติไทย ตามมาตรา 7 ทวิ ฯ ปี 2547 รวมบุคคลที่ทางศูนย์ศึกษาฯ ได้ทำการช่วยเหลือและสร้างกระบวนการ ช่วยเหลือแบบชุมชนโดยชุมชนเอง ให้ได้รับสถานะที่ถูกต้องตามกฎหมายไปแล้วกว่า 2 พันชีวิต ในพื้นที่ 2 อำเภอ คือ อำเภอหัวหิน และกิ่งอำเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และระหว่างนั้นทางศูนย์ฯได้มีโอกาสเข้าสำรวจในพื้นที่อำเภอเมืองประจวบฯและอำเภอเมืองระนอง รวมถึงอำเภอแก่งกระจาน อีกด้วย พบว่ามีบุคคลไร้รัฐ ไร้สัญชาติ อยู่อีกเป็นจำนวนมาก อีกกว่า 3 พันชีวิตในพื้นที่รอยต่อระหว่างจังหวัดประจวบฯ และ จังหวัดเพชรบุรี ที่ยังคงประสบปัญหาการถูกละเมิดสิทธิในความเป็นมนุษย์ เพียงเพราะไม่มีเอกสารที่ระบุอัตลักษณ์ความเป็นชนชาติเท่านั้น -
แนวคิดและวิธีการ
· แนวคิด “ แบบมีส่วนร่วม” โดยการนำความคิดของพี่น้องปกาเกอญอ มาเป็นตัวตั้งในการทำงาน โดยผ่านตัวผู้นำชุมชนเพื่อชุมชน เกิดจาก “จิตสำนึกต่อหน้าที่และส่วนรวม” และ “ความศรัทธา” ในตัวพี่น้องปกาเกอญอบวกกับความภาคภูมิความเป็น ปกาเกอญอ พวกเขาดำรงชีวิตอยู่ในพื้นที่ป่า ดูแลและรักษาป่า โดยการพึ่งพาอาศัยและดูแลป่ามาตั้งแต่บรรพรุษ เป็นสิ่งแรกที่ต้องทำให้เกิดขึ้นทั้งผู้รับและผู้ให้ และเป็นสิ่งที่ต้องปลูกฝังในความคิดของคนรุ่นหลังต่อไป · วิธีการ “ปฏิบัติงานภายใต้ชุมชนเพื่อชุมชน” เพื่อเน้นการใช้ทรัพยากรบุคคลในพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยไม่ขัดต่อวิถีชีวิตและวิถีทางวัฒนธรรมของพี่น้องปกาเกอญอในชุมชน -
ทำไมถึงเกิดโครงการ(คลีนิก)สมุนไพรต้านโรคไร้รัฐ เพื่อหว่านกล้ารักษาโรคไร้สัญชาติขึ้น
จากที่ น.ส.รุจิราพร โชคพิพัฒน์พร ผู้ประสานงานศูนย์ ฯ ได้มีโอกาสเข้าร่วมงานโครงการศึกษาวิจัยเพื่อสำรวจสถานการณ์และศึกษาความเป็นไปได้ในการขจัดปัญหาการจดทะเบียนการเกิด และปัญหาสถานะบุคคลตามกฎหมายของประชาชนในพื้นที่ประสบภัยสึนามิ ในฐานะผู้ช่วยนักวิจัยสำรวจสถานการณ์ข้อเท็จจริง และได้รับโอกาสจากทาง รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนจิตรา สายสุนทร เมื่อปี 2549 ที่ผ่านมา ท่านได้เปิดมุมมองการทำงาน เพื่อคนไร้รัฐ และไร้สัญชาติ ท่านได้พาศึกษาดูงานในพื้นที่อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ จึงเกิดแนวความคิดในการทำงานขึ้น ในรูปแบบห้องเรียน หลังจากนั้นได้นำแนวความคิดรูปแบบห้องเรียน ไปเสนอต่อทีมงานของศูนย์ฯ ทางทีมงานได้ให้ข้อเสนอมา ดังนี้ 1. แนวทางห้องเรียนกฎหมาย เป็นแนวคิดที่ดีที่จะให้คนที่มีปัญหาสัญชาตินั้นได้ต่อสู้ด้วย ตนเองและได้เรียนรู้มากขึ้นก็จริง แต่ถ้าใช้กระบวนการจากที่ทาง น.ส.รุจิราพร ได้ไปศึกษามานั้น จะต้องมาปรับใช้กับพี่น้องเราในพื้นที่แก่งกระจานนี้อีกมาก อาทิเช่น การสื่อสารความเข้าใจในภาษากฎหมาย กับชาวบ้านที่เดิมแถบจะมีความเข้าใจในภาษาไทยได้น้อยอยู่แล้ว จะต้องมีตัวสื่อหรือกิจกรรมที่ให้ชาวบ้านได้สัมผัสถึงจริง (โดย นายพัชรพล(เซบุแฮ) พูลลัด เจ้าหน้าที่ฝ่ายชุมชนสัมพันธ์ ) 2. ถ้าเป็นรูปแบบห้องเรียน ผมเสนอจะต้องนำกิจกรรมเด็กและเยาวชนมาเป็นตัวเชื่อมโยงในรูปแบบห้องเรียน โดยการสร้างรูปแบบกิจกรรมขึ้น เพื่อเป็นกระบวนการต่อยอดในพื้นที่อื่นได้ด้วย ( นายณรงค์ นาพัว เจ้าหน้าที่งานภาคสนาม ) 3. เห็นด้วยกับที่นุชอธิบายมา และคิดว่าถ้ามีโครงการห้องเรียนเกิดขึ้น ก็เสนอว่าจะต้อง สร้างห้องเรียนให้ทีมงานกันก่อน เพื่อที่จะสร้างความเชื่อมั่นและความชัดเจนในการทำงานได้ต่อไป ( นายขอไข่ ปัญญาหาญ , นางอารยา รักชาติ และ นายยุทธ จงเจริญ อาสาสมัครชุมชน) 4. เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2550 ได้จัดประชุมเสวนาย่อย เรื่องชี้แจงและทำความเข้าใจในสถานะบุคคลของบุคคลต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายและหารือแนวทางการดำเนินงานร่วมกัน เกี่ยวกับสิทธิในสถานะบุคคล ได้มีข้อเสนอว่าอยากให้มีการชี้แจงลักษณะอธิบายให้ชาวบ้านเข้าใจมากๆ และถ้าเน้นเรื่องกฎหมายสิทธิก็จะเป็นประโยชน์มาก และสนใจห้องเรียนที่นุชได้นำเสนอไปและจะรับเป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ให้ด้วย ( โดย นายนิกร เสียงใส ครูอาสาสมัคร กศน.อ.หัวหิน , นายเชาว์ ปลีดอก ผู้ใหญ่ ม.3 ต.ห้วยสัตว์ใหญ่ , นายปราโมทย์ จันท์อุปถัมภ์ อดีตผู้ช่วยผู้ใหญ่ , นายรักชาติ ดีเลิศ ผู้ใหญ่ ม.6 ต.ห้วยสัตย์ใหญ่ ) จากข้อเสนอดังกล่าว จึงนำมาประมวลออกมาเป็นตัวโครงการที่นำเสนอได้ โดยอาจชี้แจงได้ดังนี้ -
สมุนไพรต้านโรคไร้รัฐ คืออะไร
กล่าวได้เพียงอย่างน้อยว่า โรคไร้รัฐ ในยุค 50 นั้นมียาปฏิชีวนะที่จะสมานแพรได้ อยู่พอสมควรบ้างแล้วแต่คุณภาพของชีวิตผู้ใดผู้หนึ่ง แต่สมุนไพรที่ทางศูนย์ฯกำลังจะทดลองปลูกนี้ เป็นตัวยาธรรมชาติแบบดิบๆ ที่จะต้องทดลองออกมาให้เหมาะกับโรคไร้รัฐ สำหรับมนุษย์ที่อ่านออกเขียนไม่ได้ในภาษาไทย หรืออาจจะไม่ได้เลยสักภาษา แต่ นัยความหมายมิได้บอกว่า การที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้นั้นเขาจะไม่มีรัฐคุ้มครองป้องกันต้านโรคไร้รัฐให้กับเขา ตัวอย่าง ยาที่จะต้านโรคได้อาจจะต้อง กินทีละ 1 หม้อ ค่อยๆกินค่อยๆรักษาแบบธรรมชาติ แต่ต้องได้ผลระยะยาว นั่นคือ โรคไร้รัฐ จะต้องไม่กลับมาเกิดขึ้นกับมนุษย์ผู้นั้นอีกครั้ง เพราะเราต้องต้านโรคให้หยุดฉะงัก อาจจะโดยชับพลัน ความเป็น “ปาเกอญอ” เขาไม่เคยที่จะเคยร้องขอค่าชดเชยจากผู้ใดแต่อย่างใด ตั้งแต่ถูกกล่าวหาค้ายาเสพติด ปลูกพืชเสพติด ทำลายป่า คนต่างด้าว ฯ หรือ ถูกละเมิดทั้งด้านวัฒนธรรมและวิถีชีวิต หรือ ถูกละเมิดสิทธิในสัญชาติ เขาเป็นเพียงมนุษย์ที่เกิดกินอยู่บนพรหมแดนที่ไม่เคยถูกปิดกันทางจิตใจ อาทิเช่น มนุษย์ผู้เฒ่าผู้หนึ่ง ที่เป็นอดีตผู้นำเผ่าพันธุ์กะเหรี่ยงบนผืนป่าแก่งกระจานนี้ เอ่ยเสียงดังก้องหูกับข้าพเจ้าว่า “ ไม่เอาหรอกบัตรประชาชนนะ ถ้าอยากให้บัตรก็เอามาให้เลย ถ้าลำบากจะต้องไปหาคนโน้นทีคนนี้ที เอาโน่นเอานี่ และข้ามีเหรียญที่ในหลวงท่านให้มาอยู่แล้ว จะไปเอาอีกทำไมบัตรประชาชน ข้าฯมีเหรียญนี่ยังรู้สึกว่ามีคุณค่ากว่าเสียอีก ” เมื่อเสียงจากคนในชุมชนกล่าวมาในลักษณะนี้ ทีมจึงจักต้องหาวิธีการรักษาเฉพาะเพื่อรักษาโรคไร้สัญชาติให้เขาได้ -
หว่านกล้าเพื่อรักษาโรคไร้สัญชาติ คืออะไร
“ หว่านกล้า ” คือ การสร้างทีมงานให้เข้มแข็งไปพร้อมๆกับการเสริมสร้างแกนนำกลุ่มเด็กและเยาวชน เพื่อความมั่นใจ ภูมิใจ ความกล้าหาญให้กับพวกเขาก่อน ที่เขาจะมารักษาโรคไร้สัญชาติของเขาเอง และคนอื่นๆในชุมชนเขาเองได้ต่อไป 4. สิ่งที่เกิดขึ้นและได้ทำไปแล้ว กิจกรรมที่ทางศูนย์ฯได้ดำเนินการและได้เล็งเห็นเด็กและเยวาชนที่จะมาเข้าร่วมโครงการแล้ว คือ จากการเข้าร่วมสำรวจและตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นและจัดทำทะเบียนประวัติและบัตรประจำตัวบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน ตามระเบียบสำนักทะเบียนกลางฯ พ.ศ.2548 กับเด็กและเยาวชน ในสถานศึกษา ร่วมกับสำนักทะเบียนอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อเดือน มกราคม – 12 กุมภาพันธ์ 2550 ที่ผ่านมา แล้วไปกว่า 160 คน (ตามรายงานกิจกรรมแนบท้าย) นั้น ทำให้สามารถจำแนกบุคคลได้ดังนี้ 4.1 คนที่มีสิทธิได้สัญชาติไทย ตามบิดาหรือมารดา / สถานะต่างด้าวโดยชอบ ( กลุ่มนี้สามารถเข้าร่วมปฏิบัติงานตามโครงการเฉลิมพระเกียรติ 5 ธันวา ได้โดยการปฏิบัติงานร่วมการพิสูจน์ตัวบุคคลร่วมกับสำนักทะเบียนอำเภอหัวหิน) โดยการสร้างเป็นห้องเรียนทดลองได้ในห้องเรียนวิชาการตามกิจกรรมโครงการฯ 4.2 คนที่ตกหล่น และมีความเกี่ยวพันธ์กับบุคคลที่เคยได้รับการจัดทำทะเบียนประวัติและบัตรประจำตัวชุมชนบนพื้นที่สูง ปี 2542 ( สามารถเข้าห้องเรียนทดลองวิชาการได้โดย การจัดทำแผนปฏิบัติการพิสูจน์ตนร่วมกับชุมชนต่อไป ) 4.3 คนที่พึ่งอพยพเข้ามาใหม่ ทั้งกรณีอพยพเข้ามาจากในประเทศและนอกประเทศ ( กลุ่มนี้สามารถนำเข้าห้องเรียนธรรมชาติ เพราะเนื่องจากการสื่อสารทางภาษายังไม่สมบูรณ์ จึงต้องนำกระบวนกิจกรรมสนุกผนึกกับกระบวนการสร้างความเข้าใจในสิทธิเด็ก ในเบื้องต้น ) 5. สิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นนอกจากห้องเรียน 5.1 ทะเบียนประวัติของผู้ไร้รัฐ และไร้สัญชาติ ที่ผ่านการพิสูจน์โดยชุมชน ที่สามารถทำให้เจ้าหน้าที่รัฐที่รับแก้ปัญหา ได้หยิบนำไปใช้ได้ เพื่อเป็นการลดขั้นตอนในการพิสูจน์ตนซ้ำซ้อนอีกด้วย 5.2 กิจกรรมห้องเรียนสามารถส่งเสริมขยายเครือข่ายไปยังกลุ่มเด็กและเยาวชน ในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องปกาเกอญอ พื้นที่ภาคตะวันตกได้ เช่น กลุ่มพี่น้องในพื้นที่ จังหวัดราชบุรี และ จังหวัดกาญจนบุรี รวมไปถึงพี่น้องปกาเกอญอทางภาคเหนือด้วย
คำว่า “ทีมงาน” ทุกครั้งที่ใช้จะหมายถึงผู้ปฏิบัติที่เป็นพี่น้องปกาเกอญอ 90 เปอร์เซ็น
ยาปฏิชีวนะ ในที่นี้หมายถึง ยุทธศาตร์การจัดการปัญหาและสิทธิ ในสถานะบุคคล ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อ 18 ม.ค.2548
สมุนไพร คือ การรักษาแบบวิธีธรรมชาติ เพื่อคนธรรมชาติเรียบง่ายอย่างพี่น้องปกาเกอญอ โดยการนำกระบวนการการจัดการสิทธิเด็ก จากกลุ่มไม้ขีดไฟ ที่ทำงานการสร้างกระบวนการสิทธิมาแล้วทั่วประเทศ มาจัดทำเวิคช้อปร่วมกันเพื่อสร้างสูตรสมุนไพร ในห้องทดลองการรักษา
ตัวอย่างยา ทีจะต้องทดลองกินที่ละหม้อ หมายถึง สูตรของห้องเรียนแต่ละห้องเรียนนั้น จะต้องมีการทำการทดลอง เพื่อให้ได้เข้ากับโรคที่จะรักษา อาทิ โรคที่เกิดกับ เด็ก ไม่ใช่ผู้ใหญ่ เป็นต้น