“ดื่มไวน์ร้อนมั๊ย?”
เสียงแหม่มตัวอ้วนกลมแก้มแดงเชิญชวนด้วยภาษาอังกฤษแปร่งๆ
งงเลยค่ะ เพราะเกิดมาก็เพิ่งได้ยินนี่แหละ
ดื่มไวน์กับสมัครพรรคพวกมานานปีมีแต่ได้ยินว่าจะต้องแช่ไวน์ให้เย็นระดับโน้นระดับนี้ เวลาเสริฟก็มีถังใส่น้ำแข็งสำหรับแช่อีกต่างหาก โดยรวมๆแล้วก็เข้าใจว่าวิถีนักดื่มไวน์นั้น อุณหภูมิของไวน์มีแต่เรื่องความเย็น ยังไม่มีใครเอ่ยให้ได้ยินว่าจะกิน “ไวน์ร้อน!”
เพื่อให้หายงง ก็ต้องเดินกรายเข้าไปยังซุ้มขายไวน์ร้อนที่แหม่มเชิญชวน เธอถามย้ำ “Hot Wine?” พอเราพยักหน้า เธอจัดแจงเปิดก๊อกหม้อโลหะเก็บความร้อน รินน้ำสีแดงสวยเหมือนไวน์แดงที่เคยดื่มใส่ถ้วยพลาสติกส่งให้ พร้อมกับผายมือไปที่ซองกระดาษแล้วบอกว่า “Sugar”
เอาล่ะสิ ใส่น้ำตาลด้วยเหรอ แหม่มอีกคนที่ซื้อด้วยเหมือนกัน ไม่เห็นใส่เลย เราจึงจิบดูก่อน กลิ่นฉุนของไวน์ผสมเครื่องเทศบางอย่างพุ่งมาชนจมูก ถ้าประสาทรับรู้กลิ่นจำไม่ผิดก็น่าจะเป็นกานพลูและอบเชย
รสชาติดีค่ะ เหมือนไวน์แดงแบบชาวบ้านทำเอง แต่ก็ลองใส่น้ำตาลลงไปตามคำบอกด้วย ก็ได้รสหวานเพิ่มขึ้นมา จิบต่ออีก 2-3 อึก หน้าก็ร้อนผ่าวๆ จึงต้องถามต่อ “นี่มีแอลกอฮอล์ใช่มั้ย?” เธอพยักหน้าและยิ้มอย่างอารมณ์ดี
โป๊ะแชะ! ได้การพอดี เพราะอุณหภูมิขณะที่เดินอยู่ในตลาดกลางจัตุรัสเมืองเชสกี้คลุมลอฟของสาธารณรัฐเชคขณะนี้คือ 1-2 องศาเซลเซียส ได้เครื่องดื่มแบบนี้ก็แฮปปี้สาวเมืองร้อนสิคะ จ่ายค่าไวน์ร้อน ซึ่งมีชื่อภาษาเชคว่า SVAŘÁK ไป 35 โครูน่า ก็ประมาณ 50 บาท แล้วถือถ้วยเดินไปจิบไปอย่างสบายอารมณ์
วันต่อมาก็ไปเดินตลาดที่จัตุรัสกลางกรุงปราก เจอร้านที่ติดป้ายขาย SVAŘÁK อยู่ทั่วไป ราคาแตกต่างกันระหว่าง 35-65 โครูน่า สำหรับถ้วยขนาดจุ 200 มิลลิลิตร และมีลูกค้าอุดหนุนมากกว่ากาแฟร้อนจำพวกเอสเพรสโซ่หรือคาปูชิโนซึ่งราคาถ้วยละ 30 โครูน่าซะอีก
ถือโอกาสชิมดูเพื่อเปรียบเทียบ ก็พบว่ารสชาติและกลิ่นคล้ายคลึงกัน สร้างความอบอุ่นให้ร่างกายได้ดีขณะเดินตลาดท่ามกลางอากาศหนาวจับจิตแบบนี้
พอข้ามมาเมืองมิวนิคในเยอรมัน ก็เดินตลาดอีกแถวๆ จัตุรัสหน้าหอนาฬิกากลางเมือง แล้วสายตาก็สะดุดป้ายร้าน GLŰHWEIN ปรากฏเด่นเป็นสง่า แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “ไวน์ร้อน” เหมือนกันกับ SVAŘÁK ในภาษาเชคนี่นา
นึกในใจว่าคนเยอรมันเจ้าแห่งเบียร์ก็ดื่มไวน์ร้อนกับเขาด้วยเหมือนกันแฮะ เดินตรงเข้าไปหาความรู้ใส่ปากซะหน่อย พอเห็นราคาก็ต้องร้องโอยโย๋! ไวน์ร้อนเยอรมันขาย 3.50 ยูโรเจ้าค่ะ ก็ประมาณ 175 บาท ที่แพงกว่าเพราะกินถ้วยด้วย คือกินแล้วแถมถ้วยกระเบื้องกลับบ้านไปเป็นที่ระลึก
เดินไปรอบๆบริเวณจัตุรัส ทั้งตลาดก็ไม่มีซุ้มไหนขายเบียร์เลย เอ..ชักจะยังไงกันนี่ คนเยอรมันเลิกกินเบียร์แล้วรึ? แต่พอเข้าไปกินอาหารในร้านถึงได้เห็นคนดื่มเบียร์ตรึมไปเลย! เฮ้อ..ยังงี้ค่อยคุ้นเคยหน่อย
หลังจากทบทวนและขุดคุ้ยเรื่องธรรมเนียมการดื่มไวน์ร้อนก็ถึงบางอ้อ เคยมาเยอรมัน 2-3 ครั้งไม่พบเจอก็เพราะไม่เคยมาตอนหน้าหนาวหิมะพราวอย่างนี้สักครั้ง ไวน์ร้อนจะมีขายเฉพาะฤดูกาลคือประมาณช่วงพฤศจิกายนจนถึงวันคริสตมาสอีฟ ซึ่งมีการเปิดตลาดกลางแจ้งเพื่อขายของสำหรับเทศกาลคริสต์มาส (Christmas Market) แทบทุกเมืองในเยอรมันและเชค เมื่อต้องเดินช้อปปิ้งกลางอากาศหนาวๆ ก็มีไวน์ร้อนนี่แหละเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น ซุ้มขายไวน์ร้อนจึงมีอยู่ทั่วไป
เมื่อสืบลึกลงไปก็พบว่า ก่อนจะออกมาแพร่ในตลาดแบบยุคนี้ มีธรรมเนียมการดื่มในบ้านมาตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 18-19 เพราะกวีเยอรมันชื่อดังอย่าง Johann Wolfgang von Goethe เคยบรรยายถึงการดื่มไวน์ร้อนกับสหายในช่วงฤดูหนาวด้วย
ตามติดไปถึงวิธีทำก็พบว่า จมูกยังแม่นยำอยู่ เพราะส่วนผสมที่ใช้มีกานพลูกับอบเชยจริงๆ สูตรที่ทำง่ายที่สุดสำหรับ 1 ที่คือ ไวน์แดงประเภท Dry Table Wine 1 ถ้วยตวง น้ำตาลทราย 1-2 ช้อนชาหรือตามชอบใจ อบเชยท่อนเล็ก 1 ท่อน กานพลู 1-2 ดอก และผิวเลมอน 1 ชิ้นเล็ก ผสมกันทั้งหมดแล้วตั้งไฟให้ร้อน แต่ห้ามเดือดโดยเด็ดขาด แค่นี้แหละค่ะ เสริฟได้เลย ส่วนใครอยากได้สูตรพิสดารกว่านี้ก็สรรหาเอาเอง ชื่อที่ใช้เรียกอีกคำคือ Mulled Wine
ไปเที่ยวนี้ สมาชิกร่วมทีมเกือบสามสิบชีวิต ไม่มีใครแวะจิบไวน์ร้อนเลยสักคน มุ่งช้อปปิ้งลูกเดียว น่าเสียดาย ปีละครั้งสำหรับธรรมเนียมจิบไวน์ร้อนอย่างนี้ ถ้าใครมีโอกาสเยือนยุโรปตะวันออกในช่วงฤดูหนาวหิมะขาวโพลน ก็อย่าพลาดนะคะ
สำหรับผู้ที่ชอบความแปลกใหม่ จะทำดื่มเองช่วงอากาศหนาวๆ ของบ้านเราบ้าง ก็เชิญเลยค่ะ
สวัสดีค่ะ
ไม่เคยดื่มไวน์ร้อนเลย คงแปลกๆหน่อย แต่ก็น่าลองนะคะ ทางด้านนี้ เคยไปแค่Austriaค่ะ ประเทศอื่นไม่เคยไป อยากไปเหมือนกัน คงรออีกหน่อย อ่านของอาจารย์ไปก่อนแล้วกัน สนุกค่ะ