เป็นเรื่องธรรมชาติที่สุดเมื่อมีเหตุ จึงมีผลตามมา ความจริงข้อนี้ถูกประกาศในอริยสัจสี่ (The Four Noble Truths) โดยพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากว่า 2500 ปีมาแล้ว ปัญหาอยู่ที่บางครั้งเมื่อเราต้องการจะ "วัด" ผล เรื่องราวเริ่มไม่ตรงไปตรงมาอย่างที่คิด
ลำพัง 5 senses ของประสาทสัมผัส ไม่มีแม้แต่ประการเดียวที่ fail-proof สัญญานตั้งแต่การเกิดการกระตุ้น มาโดนศูนย์รับ ส่งไปหน่วยประสาท เข้ากระบวนการ แปลผล มีโอกาสมากมายที่ข่าวสารถูกปรับเปลี่ยนแต่งเติม และที่พูดมาแค่กระบวนการทางสรีระแค่นั้น ยังไม่ได้นับกระบวนการทางจิตวิทยา ทางสังคม ที่มีผลไม่น้อยต่อ การรับรู้ ได้ เหมือนกับเวลาที่เราทำกลุ่มสุนทรียสนทนา เริ่มต้นจาก individual consciousness และกนะบวนการได้นำไปสู่ collective consciousness ถึงตอนนั้น การรับรู้ เรื่องเดิมได้ถูกปรุงแต่งเกิดเป็นการรับรู้ที่คัดกรองเคี่ยวกรำ หน่วง ดูดซึมซับอะไรต่อมิอะไรมากมาย เกิดการ "เปลี่ยนแปลง" ขึ้น
ในโลกยุคที่การประเมินผลเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราตั้งแต่หน่วยเล็กสุด ไปจนถึงระดับองค์กร ชุมชน ประเทศ แรงกดดันที่เรา ต้องประเมิน เริ่ม taking its toll จากเหตุผลคือการ "สังเกต" ว่าทำแล้วเกิดอะไรขึ้น มาเป็นแต่งเติมด้วย ความคาดหวัง (ซึ่งไม่เหมือนกับ "ความหวัง" นะครับ)
ที่ ม.อ. เรามีหน่วยชีวันตาภิบาล (palliative care unit) ที่จริงๆ ชื่อเป็นทางการ ณ ขณะนี้ประกอบด้วยคณะกรรมการเพื่อพัฒนา palliative care ที่มี full-time staff แค่ 2 คนเท่านั้น มีคำถามเกิดขึ้นเป้นระยะๆว่า "อะไรเป็นตัววัด ทิศทางความสำเร็จของหน่วย"
เมื่อดูจากลักษณะของ "งาน" แล้ว ก็เกิดความสงสัยทันทีว่ามีอะไรที่พอจะ claim ว่าเป็นผลงานของ "หน่วย" ได้จริงหรือ ในเมื่อเราได้บรรยายว่าการทำ palliative care นั้น "ต้อง" เป็นการดูแลที่เป็นองค์รวม เกิดจากความร่วมมือของหลากหลายบุคลากร และสำคัญที่สุดจากผู้ป่วยและญาติ ความสำเร็จ ในการดูแลนั้น "ใคร" จะเป็นคน claim the credit?
ผมเชื่อว่าบุคลากรที่ทำ palliative care นั้น couldn't care less ว่าใครจะเป็นคนได้ credit เพราะเชาเหล่านั้นแค่ตระหนักรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ และผลทั้งหมดทุ่มเทที่ผู้ป่วยและญาติ ถ้าจะสำเร็จ "ทีม" ทั้งหมดสามารถ share sense of success นั้นได้ ไม่ใช่แค่ individual unit
จริงๆแล้ว ผมคิดว่าที่พูดมานี่ extend ไปถึง "สัมฤทธิ์ผล" ของหน่วยงานทุกระดับ รวมทั้งโรงพยาบาล หรือแม้กระทั่งกระทรวงสาธารณสุขด้วย
ศัลยกรรมจะสำเร็จได้ มีคนเกี่ยวข้องมาตั้งแต่ที่ OPD การอธิบายให้เข้าใจ เจ้าหน้าที่ที่หอผู้ป่วยใน คนงานทำความสะอาด คนซักผ้า คนเปล หมอผ่าตัด พยาธิแพทย์ ตังคนไข้เอง และญาติ ถ้าจะมีการให้ "credit" แล้วตกหล่นใครคนใดคนหนึ่งของทั้งวงจรออกไป ผมคิดว่าจะมีผลกระทบต่อการมอง การประเมิน การวางแผนพัฒนา และในที่สุดจะเกิด "ปัญหา" ขึ้น ตัวอย่างที่ว่านี้เกิดขึ้นกับทุกภาควิชา ทุกหน่วยงาน เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเราทำงานเป็น "ทีม" ผลเสียจากการไม่ได้ aware ว่าเราทำงานเป็นทีม (และ "ต้อง" เป็นทีมเท่านั้น) มหาศาลมาก เพราะเราจะเผบอไม่ได้ไปดูแล "ส่วนของทีม" ที่เราพึ่งพาอาศัยนั้นอยู่ ในห่วงอันต่อเนื่องทั้งหมดนั้น ถ้าเราไม่ได้ดูแลพยาบาลที่ ward ให้ดี ไม่ได้มีคนเปลที่รับผิดชอบ เล็กๆ น้อยๆ ของการ "หย่อนคุณภาพ" จาก undertaking care of จะค่อยๆ take its toll อย่างช้าๆ จนถึง breakingpoint
ดังนั้นถ้า palliative care ของ ม.อ. จะประกาศ "สัมทธิ์ผล" เมื่อไร คนประกาศจะต้องมาจากพวกเราทุกคนในองค์กร เพราะรับรองได้ว่าผลงานแบบนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะ individual ไม่ว่าจะเป็นคนหรือหน่วย แต่เป็นความสำเร็จองค์รวมที่สามารถ shared ได้ว่าเป้นของผู้ป่วย และญาติ และผู้ดูแลด้วย จึงจะถูกต้อง
สกลยกประเด็นสำคัญมาว่าเลย
สำหรับผม ผมคิดว่า คนที่ลงมือทำเอง อยู่ในเหตุการณ์เอง รับรู้ได้ด้วยตนเองครับว่า สายตาของผู้ป่วยหรือญาติที่มองมาที่เรา เสียงร้องอย่างเจ็บปวด คิ้วที่ขมวดเข้าหากัน รอยยิ้มจางๆก่อนลมหายใจสุดท้าย น้ำตาหรือเสียงหัวเราะ เป็นอย่างไร ตัวเราจะบอกได้ดีเสมอว่า สิ่งที่เราทำลงไปนั้น มันดีได้ที่ สมใจของเราแล้วหรือยัง ซึ่งต่างคนต่างประเมินตนเอง
เรื่องใจ ต้องใช้ใจเราสัมผัส เรื่องที่ลึกซึ้งแบบนี้ ควรใช้อะไรที่ลึกซึ้งประเมิน ไม่ควรเอาอะไรหยาบๆ เช่น ตัวเลข ร้อยละ มาประเมินให้มันด้อยคุณค่าลง
อันนี้จำเขามาอีกที
นั่นคือความรู้สึกส่วนตัว
แต่ในโลกของนักวิชาการ ที่เราต้องทำหน้าที่ สอน โน้มน้าวคน การประเมินที่เป็นรูปธรรม อย่างตัวเลข จะดึงดูดใจ ทำให้คนเชื่อได้ง่ายกว่า เป็นเหตุผลว่า ในทางปฏิบัติ ผมก็ยังขอร้องให้ผู้ป่วยบอก คุณภาพชีวิต ของเขาให้ผมฟังเป็นตัวเลขว่า ให้กี่เปอร์เซนต์ครับป้า ซึ่งบางทีก็เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมยังทำอยู่ คือ ผมมักขอให้ผู้ป่วยหรือญาติ เขียน อะไร ให้กับเรา เป็นเรื่องราวที่นำไปสื่อให้ผู้อื่นต่อได้
ผมเองก็ยังพยายามหาคำตอบเรื่องนี้ให้กับตัวเอง และเรียนรู้ไปเรื่อยๆ
แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่มั่นใจว่าไม่ผิดแน่ ก็คือ อย่าฟังคนที่ไม่เคยทำงานกับผู้ป่วยระยะสุดท้ายพูดมากนักเรื่องนี้ เพราะผมเชื่อว่า เรื่องนี้ก็เหมือน KM คือ ไม่ลงมืิทำ ไม่รู้