การเรียนรู้ตลอดชีวิตกับชาวนา (๑)
ท่านที่สนใจเรื่องรูปแบบการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่เหมาะสมต่อชาวบ้าน โปรดลองอ่านเรื่องราวของโรงเรียนชาวนาต่อไปนี้ ซึ่งจะนำมาลงเป็นตอนๆ สัปดาห์ละ ๒ ตอน ในวันจันทร์และพฤหัส รวม ๒๙ ตอน เรื่องราวเหล่านี้เขียนโดยทีมของมูลนิธิข้าวขวัญ (มขข.) สุพรรณบุรี และบางตอนจะนำมาจากบันทึกการทดลองและเก็บข้อมูลโดยชาวนาที่เป็นนักเรียนโรงเรียนชาวนา บางตอนจะมีภาพวาดสวยๆ โดย “นักเรียน” มาให้ชื่นชมกัน
คำหลักของเรื่องเล่าและบันทึกเหล่านี้ ได้แก่
· การเรียนรู้ตลอดชีวิต
· การทำนาแบบเกษตรยั่งยืน หรือเกษตรอินทรีย์ เกษตรปลอดสารพิษ
· เศรษฐกิจพอเพียง สังคมพอเพียง
· การรักษาสิ่งแวดล้อม การลดมลพิษในนา การผลิตข้าวปลอดสารพิษ
โครงการส่งเสริมการจัดการความรู้
เรื่องการทำนาข้าวในระบบเกษตรกรรมยั่งยืน
ตอนที่ ๑
เมื่อฤดูกาลก้าวเข้าสู่ช่วงปลายฝนต้นหนาวราวเดือนตุลาคม (2547) ลมเย็นๆจากถิ่นใดเจ้าเอ๋ย...จึงได้พัดพาหอบเอาความเย็นความหนาวผ่านนาข้าวเขียวมาถึงถิ่นเมืองสุพรรณบุรี ครั้นแลมองท้องทุ่งข้าว จึงควรต้องเหลียวดูวันเวลา ให้นับจังหวะได้ว่าเป็นระยะทบทวนงาน นับตั้งแต่เดือนในเทศกาลสงกรานต์...เมษายนที่เริ่มต้นทำงานตามโครงการส่งเสริมการจัดการความรู้ เรื่องการทำนาข้าวในระบบเกษตรกรรมยั่งยืน เวลา 6 เดือน (เมษายน – กันยายน) ในช่วงแรกของโครงการที่ผ่านไปเป็นเช่นไรกันบ้างกับการทำงานเพื่อชาวนาไทยของมูลนิธิข้าวขวัญ ?
มูลนิธิข้าวขวัญได้จัดกิจกรรมต่างๆผ่านโรงเรียนชาวนา ซึ่งมีอยู่ด้วยกันจำนวน 4 แห่ง ในพื้นที่ 4 อำเภอของจังหวัดสุพรรณบุรี คือ ตำบลบ้านโพธิ์ ตำบลดอนโพธิ์ทอง อำเภอเมือง ตำบลวัดดาว อำเภอบางปลาม้า ตำบลบ้านดอน อำเภออู่ทอง และตำบลไร่รถ อำเภอดอนเจดีย์ โดยแต่ละโรงเรียนต่างก็มุ่งมั่นเดินทางเข้าสู่วิถีของระบบเกษตรกรรมยั่งยืน
ดังนั้น มูลนิธิข้าวขวัญจึงมีเครือข่ายเป็นนักเรียนชาวนาตามพื้นที่ต่างๆ โดยมีรายละเอียดดังนี้
โรงเรียนชาวนาบ้านโพธิ์ เป็นนักเรียนชาวนาที่มาจาก 2 ตำบลในอำเภอเมือง คือ ตำบลบ้านโพธิ์ และตำบลดอนโพธิ์ รวม 7 หมู่บ้าน มีนักเรียนชาวนาเข้าร่วมโครงการ จำนวน 60 คน นัดเปิดโรงเรียนกันทุกวันอังคาร อาศัยสถานที่บ้านผู้นำชุมชน บ้านของคุณบุญมา ศรีแก้ว เป็นแหล่งจัดกิจกรรม
ส่วนโรงเรียนชาวนาบ้านสังโฆ ตำบลวัดดาว อำเภอบางปลาม้า มีนักเรียนชาวนา จำนวน 43 คน จัดกิจกรรมต่างๆกันทุกวันพฤหัสบดี มีศาลาการเปรียญวัดดาวเป็นสถานที่เปิดโรงเรียน
ส่วนโรงเรียนชาวนาบ้านดอน ตำบลบ้านดอน อำเภออู่ทอง นักเรียนชาวนามาจาก 6 หมู่บ้าน จำนวน 62 คน จะต้องเปิดห้องเรียน จำนวน 2 ห้อง คือ ห้อง ก โรงเรียนเปิดทุกวันเสาร์ อาศัยคุ้มหมู่ 6 เป็นศูนย์กลางการรวมกลุ่ม และสำหรับห้อง ข โรงเรียนเปิดทุกวันพุธ ได้ไปจัดกิจกรรมกันที่บ้านคุณระเบียบ เหมาเพชร หมู่ 8
และสุดท้าย โรงเรียนชาวนาบ้านหนองแจง ตำบลไร่รถ อำเภอดอนเจดีย์ มีนักเรียนชาวนา จำนวน 43 คน โรงเรียนเปิดทุกวันอาทิตย์ ที่ศาลาการเปรียญวัดสระพระยา
การก่อร่างสร้างกลุ่มจนกลายเป็นกลุ่มก้อน จึงสามารถรวมนักเรียนชาวนาในโครงการทั้งหมดได้จำนวน 195 คน โดยที่โรงเรียนชาวนาในแต่ละตำบลทำหน้าที่เป็นเครือข่ายในระดับท้องถิ่น เกิดเป็นชุมชนชาวนา (Community of Practice) ที่จะสามารถเชื่อมโยงกัน และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันอย่างต่อเนื่อง อันเป็นวัตถุประสงค์ประการหนึ่งของโครงการที่คาดหวังไว้
ในโรงเรียนชาวนานั้น นักเรียนชาวนากับเจ้าหน้าที่จะต้องทำงานร่วมกันตามบทบาทหน้าที่ โดยที่นักเรียนชาวนามีบทบาทเป็น “คุณกิจ” ที่จะต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในโรงเรียนชาวนา ตั้งแต่ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมตัดสินใจ ร่วมแก้ไขปัญหา ตลอดจนร่วมรับผลตอบแทนต่างๆด้วย
ส่วนเจ้าหน้าที่มีบทบาทเป็น “คุณอำนวย” ที่จะคอยอำนวยการให้เกิดการทำกิจกรรมตามความต้องการที่สอดคล้องกับเนื้อหาและบริบทของชุมชน ซึ่งคุณอำนวยจะได้ร่วมเรียนรู้สิ่งต่างๆจากการทำงานร่วมกับนักเรียนชาวนาด้วย ถือเป็นการเปิดรับความรู้ใหม่ที่ควรค่าแก่การจดจำเพื่อจะได้นำไปประยุกต์ใช้ในการทำงานร่วมกันทั้งในกาลปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ไกล
แต่ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนชาวนาในบทบาทของคุณกิจ หรือเจ้าหน้าที่ในบทบาทของคุณอำนวย เมื่อเดินทางเข้ามาทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะเพื่อร่วมกันจัดการความรู้ การรวมกลุ่มจึงเป็น องค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่ง อย่างที่เราๆท่านๆเคยพูดกันอยู่เสมอๆว่า “รวมกันเราอยู่” ดังนั้น การทำงานเป็นกลุ่มเป็นก้อน จึงจำเป็นต้องมีความเป็นเอกภาพ กล่าวคือ มีการ ร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจ ร่วมทรัพย์ ในการเรียนรู้ร่วมกัน ส่วนจะมีความคิดแปลกแยกแตกต่างกันไปบ้างนั้น ให้ถือว่าเป็นการมองต่างมุม ที่สุดท้ายแล้วจะสามารถหาข้อสรุปได้
พอ 6 เดือนผ่านไป มีอะไรเกิดขึ้นอย่างมากมายหลายหลากยิ่งนัก ได้มีผลกระทบต่อคุณกิจ ซึ่งเป็นชาวนาส่วนหนึ่งในดินแดนแห่งอู่ข้าวอู่น้ำเมืองสุพรรณบุรี หลังจากได้โยนก้อนหินลงในสระน้ำแล้ว แรงกระเพื่อมจึงเกิดขึ้น จนเป็นวงรัศมีที่ขยายวงกว้างออกเป็นชั้นๆจากจุดศูนย์กลาง พวกเรา (เจ้าหน้าที่มูลนิธิข้าวขวัญ) คาดหวังไว้ว่าแรงกระเพื่อมจะกระจายออกไปให้จนถึงขอบสระในสักวันหนึ่ง...ตามเป้าหมาย แรงสนับสนุนดังกล่าวได้จากสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม หรือ สคส. ด้วยการร่วมไม้ร่วมมือของคณะทำงานนี่เอง... ที่จะทำให้ชาวนาเปลี่ยนไป
กล้าต้นใหม่ของโรงเรียนชาวนา
ตอนที่ 1 เรียนรู้ทุกข์จากชาวนา : จุดนับหนึ่งของกระบวนการจัดการความรู้
จุดนับหนึ่งของกระบวนการจัดการความรู้ที่ทางมูลนิธิข้าวขวัญได้ดำเนินการร่วมกับนักเรียนชาวนานั้น แรกเริ่มจำต้องไปเข้าเรียนรู้ทุกข์ของนักเรียนชาวนากันก่อน เหตุใดจึงต้องเรียนรู้ทุกข์ ? เรียนรู้ เพราะเพื่อต้องทำความรู้จักและทำความเข้าใจว่า กองทุกข์ของความเป็นชาวนานั้นคืออะไรและเป็นอย่างไร ? สภาพปัญหาต่างๆไปสร้างความทุกข์ยากให้แก่นักเรียนชาวนาได้อย่างไร ? เรียนรู้ทุกข์จากเสียงจากถ้อยคำของนักเรียนชาวนาที่ช่วยกันปะติดปะต่อภาพของความทุกข์และสภาพของความเป็นปัญหา ทุกข์จึงมีไว้ให้เรียนรู้และแก้ไข
การจัดเวทีตั้งโจทย์ จึงนับเป็นเวทีแรกของการดำเนินกระบวนการจัดการความรู้ โดยได้มีการระดมข้อมูล เพื่อทบทวนสถานการณ์การทำนา การปรับเปลี่ยนวิธีการทำนาตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันของนักเรียนชาวนาในพื้นที่ต่างๆ (4 อำเภอ) โดยมีคุณเดชา ศิริภัทร ได้เล่าเรื่องและคุยคุ้ยความเล่าสู่กันฟัง พร้อมๆกับให้นักเรียนชาวนาได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพปัญหาที่พบด้านต่างๆในการทำนา และร่วมกันคิดวิเคราะห์ โดยจัดกลุ่มย่อยให้นักเรียนชาวนาที่มีทุกข์จากปัญหาอย่างเดียวกันได้มาร่วมกันขบคิดในแต่ละปัญหานั้นๆไป ท่ามกลางบรรยากาศที่เป็นกันเองของลูกหลานชาวนา
|
ภาพที่ 1 นิทรรศการในเวทีตั้งโจทย์และหาเพื่อนร่วมทางในตำบลวัดดาว |
|
ภาพที่ 2 คุณเดชา ศิริภัทร เปิดเวทีร่วมกับนักเรียนชาวนาในตำบลวัดดาว |
|
อะไรคือความทุกข์ยากของชีวิตนักเรียนชาวนาบ้าง ? จากการตั้งโจทย์ปัญหาอย่างนี้ ก็พอจะได้ทำให้ทราบถึงทุกข์หรือปัญหาที่เกิดขึ้น พบว่ามีทุกข์ที่เกิดจากปัญหาทั้งหมด 5 ประเด็นหลัก คือ
(1) ทุกข์ที่เกิดจากระบบการผลิตที่เปลี่ยนไป ทำให้นักเรียนชาวนาพบกับปัญหาเรื่องต้นทุนที่สูงแพงมากขึ้นเรื่อยๆ เรื่องพันธุ์ข้าวปนกันหลายพันธุ์ในแต่ละไร่ เรื่องโรคแมลงที่มีมาก ได้แก่ ใบเหลือง หนอน เพลี้ย ใบไหม้ รากเน่า เรื่องปริมาณน้ำที่มีไม่พอต่อความต้องการในนาข้าว เรื่องการใช้สารเคมีกำจัดโรคแมลงที่ต้องใช้ในปริมาณที่มากขึ้น เรื่องความไม่รู้ไม่เข้าใจในด้านเทคนิคการปรับปรุงและการพัฒนาการทำนา
(2) ทุกข์ที่เกิดจากปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เรื่องของดินแข็ง น้ำมีสารเคมีปนเปื้อน อากาศเหม็น
(3) ทุกข์ที่เกิดจากสภาพสังคมและเศรษฐกิจ เรื่องหนี้สินที่เพิ่มมากขึ้น เรื่องเวลาทำนา จนไม่มีเวลาให้กับชุมชน ครอบครัว ทำให้คนไม่รักไม่สามัคคีกัน ทำให้ครอบครัวแตกแยก
(4) ทุกข์ที่เกิดจากปัญหาด้านสุขภาพร่างกาย เรื่องของอาการเจ็บป่วยที่เป็นกันอยู่บ่อยๆ จนทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลอยู่ร่ำไป และทำให้สุขภาพจิตเสีย
(5) ทุกข์ที่เกิดจากปัญหาด้านประเพณีวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไปและลดน้อยลง คนในชุมชนไม่เข้าใจและไม่เห็นความสำคัญของพิธีกรรม อันเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของชุมชน
|
ภาพที่ 3 คุณเดชา ศิริภัทร เปิดเวทีพูดคุยกับนักเรียนชาวนา เรื่องการเปลี่ยนแปลงการทำนาในอดีตถึงปัจจุบัน |
|
ภาพที่ 4 คุณจันทนา หงษา เปิดเวทีพูดคุยกับนักเรียนชาวนา เพื่ออธิบายถึงการจัดการความรู้ เรื่องการทำนาข้าวในระบบเกษตรกรรมยั่งยืน |
|
จากสภาพทุกข์สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นกับนักเรียนชาวนาในชุมชน นี่จึงเป็นเสียงสะท้อนที่ทุกคนทุกฝ่ายควรจะต้องหันกลับมามอง พร้อมๆกับทำความเข้าใจในปัญหาต่างๆเหล่านี้
เป็นที่น่าสังเกตว่านักเรียนชาวนาได้ตั้งสมมติฐานร่วมกันว่า ปัญหาทั้งหมดทั้งหลายนี้ เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในระบบการผลิต จึงทำให้วิถีชีวิตของความเป็นชาวนาเปลี่ยนไป ดังนั้น หากการแก้ไขปัญหาต่างๆ ควรเริ่มจากการปรับเปลี่ยนวิธีการผลิต การเพิ่มความรู้ด้านเทคนิคเกษตร เพื่อให้สภาพปัญหาทุกอย่างคลี่คลายไปได้
จากกรณีศึกษาตัวอย่างของโรงเรียนชาวนาบ้านโพธิ์ ตำบลบ้านโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี นักเรียนชาวนาได้ร่วมกันเปรียบเทียบอดีตกับปัจจุบัน เพื่อแสดงให้เห็นว่าระบบ การผลิตข้าวที่เปลี่ยนไปนั้น เชื่อมโยงกระทบกับสิ่งใดบ้างที่เปลี่ยนแปลงไปและอย่างไรบ้าง ?
ข้อมูลที่ได้จากกลุ่มย่อยที่ 1 ของนักเรียนชาวนาโรงเรียนชาวนาบ้านโพธิ์
หัวข้อ / ประเด็น |
สภาพในอดีต |
สภาพในปัจจุบัน |
เป้าหมายในอดีต |
- ทำนาเพื่อกินเองในครอบครัว ส่วนที่เหลือจึงจะไปขาย |
ทำนาเพื่อขาย 100 % - ไม่มีโรงสี - คุณภาพข้าวแข็ง ชาวนาไม่ชอบกิน - การใช้เงินในชีวิตมากขึ้น - ไม่มียุ้งเก็บข้าว |
ชีวิตการผลิต |
- หว่านแห้ง ใช้น้ำฝน ดำปีละครั้ง - ใช้แรงงานสัตว์ แรงงานคนใน ครอบครัว (มีจ้างบ้าง) - ใช้คนเกี่ยว ลงแขก (มีจ้างบ้าง) - ใช้เครื่องมือทำเอง ใช้แรงไม่ใช้ เครื่องจักรทำงาน |
- หว่านน้ำตรม ปีละ 2 – 3 ครั้งต่อปี - ใช้คลองชลประทาน - ใช้แรงเครื่องจักร - ใช้แรงงานคนในครอบครัว - เผาฟาง - ใช้สารเคมีและใส่ปุ๋ยเคมี |
ชีวิตการผลิต |
- ใช้ควายและนวดข้าวเอาเอง - ไม่เผาฟาง - ไม่ใช้ปุ๋ยและสารเคมีเลย - มีโรคแมลงข้าว แต่หายไปเอง ไม่ต้องใช้สารเคมี |
- ต้นทุน 2,000 – 2,700 บาท ต่อไร่ - โรคแมลงมีมาก - ข้าวพันธุ์นาปรัง หอมปทุม สุพรรณ 35 สุพรรณ 60 พิษณุโลก |
หัวข้อ / ประเด็น |
สภาพในอดีต |
สภาพในปัจจุบัน |
ชีวิตการผลิต |
- ข้าวนาปี การเลือกพันธุ์ข้าวเป็นไป ตามสภาพพื้นที่ นาดอนข้าวเบา นาลุ่มข้าวหนัก - ไม่มีต้นทุนเป็นเงิน |
|
สิ่งแวดล้อม |
- ในแม่น้ำลำคลองมีสัตว์น้ำอาศัยอยู่ เป็นจำนวนมาก - มีอาหารธรรมชาติอย่างมากมาย - อากาศไม่มีมลพิษ - ดินดีมีความสมบูรณ์ |
- แม่น้ำลำคลองมีสารเคมี - สัตว์ในแม่น้ำลำคลองลดลง - อากาศมีกลิ่นสารเคมีที่ชาวนาใช้ อากาศเป็นพิษ - ดินเป็นสนิมแดง ข้าวตาย - ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ |
สุขภาพ |
- การเจ็บป่วยไม่บ่อยมาก - อายุยืน 70 – 80 ปีและยังทำงานได้ - บริโภคอาหารปลอดสารเคมี - ดินดีมีความสมบูรณ์ |
- เจ็บป่วยมากขึ้น โดยเฉพาะโรค มะเร็ง - เสียชีวิตก่อนวัยอันควร - อาหารซื้อจากภายนอก ปนเปื้อน สารเคมี |
พิธีกรรม |
- ทำขวัญข้าว รับท้องข้าว ซึ่งทำใน วันศุกร์ เอาข้าวเข้าบ้าน - แรกไถ แรกหว่าน แรกเกี่ยว - ไม่ขายข้าวในวันศุกร์ |
- ทำขวัญข้าว รับท้องข้าว - เอาข้าวออกจากนาไปโรงสี |
ชีวิตความเป็นอยู่ |
- ชีวิตค่อนข้างลำบาก การเดินทาง ไม่ค่อยมีเครื่องอำนวยความ สะดวก มีหนี้สินน้อย |
- มีเครื่องอำนวยความสะดวกมาก ขึ้น ความเป็นอยู่สบายขึ้น และ หนี้สินมีเพิ่มมากขึ้น |
พันธุ์ข้าว |
- ข้าวหนัก คือ พันธุ์ลำไย ก้อนแก้ว ขาวพวง พวงเงิน - ข้าวกลาง คือ พันธุ์เหลืองอ่อน สามรวง ปิ่นแก้ว ตาแห้ง พญาชม - ข้าวเบา คือ พันธุ์นางมล ล้นยุ้ง สายบัว |
- ข้าวสุพรรณ 1, 35, หอมปทุม |
หัวข้อ / ประเด็น |
สภาพในอดีต |
สภาพในปัจจุบัน |
เป้าหมายของการ ทำนา (เรียงตามลำดับ) |
- กิน - แลกของ - ทำบุญ - ทำพันธุ์ - ขาย |
- ขาย - ทำพันธุ์ - กิน |
ข้อมูลที่ได้จากกลุ่มย่อยที่ 2 ของนักเรียนชาวนาโรงเรียนชาวนาบ้านโพธิ์
หัวข้อ / ประเด็น |
สภาพในอดีต |
สภาพในปัจจุบัน |
เป้าหมายในอดีต |
- ทำกิน เหลือขาย |
- ทำขาย แล้วซื้อข้าวกิน - ปลูกข้าวเพื่อส่งลูกเรียน |
พันธุ์ข้าว |
- เน้นพันธุ์พื้นเมือง คือ พันธุ์ ปิ่นแก้ว ก้อนแก้ว หอมเดือน 3 ขาวตาแห้ง สามรวง ลำไย พญาชม - ผลผลิตต่ำ |
ส่วนใหญ่ซื้อพันธุ์ข้าวปลูก และเก็บ พันธุ์ไว้ คือ - ข้าวสุพรรณ 35 ปทุมธานี 1 สุพรรณ 1 พิษณุโลก 2 พิษณุโลก 1 |
วิธีการผลิต |
- มีการลงแขกเอาแรงกัน |
- จ้างแรงาน ตั้งแต่ไถนา เก็บเกี่ยว ขาย - มีหนี้สิน ต้นทุนการผลิตสูง ใช้ทั้งเครื่องมือและแรงงาน - จ้างแรงงาน ส่วนใหญ่ 80 % ขึ้นไป - มีเพียงที่นาอย่างเดียว อย่างอื่นจ้าง เขาหมด |
ต้นทุนการผลิต ต่อไร่ |
ต้นทุน - พันธุ์ข้าว 0 บาท - ลงแขก (ค่าอาหาร) 20 บาท - ปุ๋ยและยา 0 บาท รวม 20 บาท |
- พันธุ์ข้าว 3 ถังต่อไร่ 300 บาท - จ้างไถ 140 บาท - ย่ำเทือก 120 บาท - หว่าน 35 บาท - จ้างฉีดยาคุม 35 บาท |
หัวข้อ / ประเด็น |
สภาพในอดีต |
สภาพในปัจจุบัน |
ต้นทุนการผลิต ต่อไร่ |
ผลผลิตในอดีต 30 กิโลกรัมต่อไร่ ผลผลิตในปัจจุบัน 4,000 บาท |
- จ้างใส่ปุ๋ย 35 บาท - จ้างฉีดยาฆ่าแมลง 105 บาท |
ต้นทุนการผลิต ต่อไร่ |
|
- รถเกี่ยว + แบกข้าว 400 บาท - รถเข็นไปขาย 100 บาท - น้ำมันสำหรับวิดน้ำ 20 บาท - ค่าปุ๋ยเคมี 400 บาท - ค่ายาคุมหญ้า 100 บาท - ค่ายาฆ่าแมลง 250 บาท - จ้างตัดข้าวปน 420 บาท รวม 2,660 บาท |
(ดูภาคผนวก จ ประกอบ)
เมื่อมาทบทวนสถานการณ์ดูแล้ว จึงจะเห็นสภาพในอดีตกับปัจจุบันเปรียบเทียบได้ดังนี้
หัวข้อ / ประเด็น |
ไม่มีความเห็น