ปญฺญา โลกสฺมึ ปชฺโชโต ปัญญาเป็นแสงสว่างส่องโลก นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี ...คำว่า ปัญญา เราใช้กันทั่วไป และใครๆ ก็ทราบว่า ปัญญาแปลว่าความรู้ ...มีผู้สอบถามว่า ปัญญากับความรู้แตกต่างกันอย่างไร ...และมีผู้ให้ช่วยแปลคำว่าปัญญา...ดังนั้น จะนำคำว่า ปัญญา มาเล่าให้อ่าน พร้อมทั้งนิทานแถมอีกเรื่อง...
ปัญญา เป็น ภาษาบาลี ส่วนปรัชญาเป็นสันสกฤต ความหมายพื้นฐานก็เหมือนกัน แต่พอแปลงสัญชาติเป็นคำไทยก็มีแนวทางการใช้แตกต่างกัน...โดย ปัญญา บ่งชี้ถึงความรู้ของคน ส่วนปรัชญาบ่งชี้ถึงแนวคิดของคน ทำนองนี้ (wisdom ถูกแปลเป็นภาษาไทยว่า ปัญญา ขณะที่ ปรัชญา เป็นศัพท์ที่บัญญัติใช้แทนคำว่า philosophy )...
คำว่า ความรู้ ในภาษาบาลีมีเป็นสิบคำ และหลายๆ คำก็มีใช้อยู่ในภาษาไทย เช่น ปัญญา วิชชา ญาณ สัญญา วิญญาณ โกวิท พุทธิ ...หรือในธัมมจักกัปวัตตนสูตร ก็มีข้อความหนึ่งตอนหนึ่งที่มีคำซึ่งใช้ในความหมายว่า ความรู้ พ่วงติดต่อกันหลายศัพท์ ดังต่อไปนี้....
ธัมเมสุ จักขุง อุทปาทิ ญาณัง อุทปาทิ ปัญญา อุทปาทิ วิชชา อุทปาทิ อาโลโก อุทปาทิ ฯ ดวงตา (จักขุง) เกิดขึ้นแล้ว ญาณเกิดขึ้นแล้ว ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ความสว่างไสว (อาโลโก) เกิดขึ้นแล้ว ในธรรมทั้งหลาย....คำว่า ดวงตา ญาณ ปัญญา วิชชา และความสว่างไสว เป็นศัพท์ที่ใช้ในความหมายของ ความรู้...
ปัญญา มาจากรากศัพท์คือ ญา โดยมี ป.ปลา เป็นอุปสัคนำหน้า (ป+ญา = ปัญญา) ...
ป. อุปสัค บ่งชี้ความหมายว่า ทั่ว ข้างหน้า ก่อน ออก
ญา รากศัพท์มีความหมายว่า รู้
ถ้าจะแปลให้มีความหมายไพเราะและตรงประเด็นตามหลักธรรม ก็อาจแปลไปทีละความหมายของอุปสัคได้ดังต่อไปนี้...
ปัญญา คือ รู้ทั่ว หมายถึง รู้ครบถ้วนกระบวนความ มิใช่รู้เพียงบางส่วน ตามนัยตาบอดคลำช้าง ....
ปัญญา คือ รู้(ไป)ข้างหน้า หมายถึง รู้เพื่อการพัฒนาไปสู่ความเจริญก้าวหน้า มิใช่รู้เพื่อความเสื่อมถอย...
ปัญญา คือ รู้ก่อน หมายถึง รู้ก่อนที่จะต้องกระทำ ถ้าไม่รู้ก่อนไปกระทำลงไปก็อาจก่อให้เกิดความเสียหายได้....
ปัญญา คือ รู้ออก หมายถึง รู้เพื่อสลัดออกไปจากทุกข์ ออกไปจากการเวียนว่ายตายเกิด ....
หมายเหตุ...
มีเรื่องเล่าว่า สมัยก่อนเสือโคร่งมิได้มีลายดำพาดไปตามตัว และช้างก็มิได้มีตาเล็ก ดังเช่นปัจจุบัน ...ที่เป็นดังนี้ก็เพราะว่า ครั้งหนึ่ง เสือมาเจอกับช้างที่มนุษย์เลี้ยงไว้ ซึ่งเรียกกันว่า ช้างบ้าน แล้วเสือก็ตำหนิช้างบ้านว่า ตัวก็โต กำลังก็มาก เหตุไฉนเจ้าจึงมายอมเป็นทาษของพวกมนุษย์ ให้มนุษย์ใช้งาน ...ทำนองนี้
ช้างบ้านก็บอกว่า มนุษย์มันมีปัญญามาก พวกเราไม่สามารถสู้กับปัญญาของมนุษย์ได้ ปัญญาเป็นอาวุธที่มีพลังมาก สามารถจัดการได้ทุกสิ่ง...ทำนองนี้
เสือก็สงสัยว่า ปัญญาของมนุษย์จะขนาดไหน จะสู้กรงเล็บและคมเขี้ยวของข้าได้หรือไม่ ...ช้างบ้านก็ว่า ไม่ได้แน่นอน เพราะปัญญาสู้ได้ทุกอย่าง ...ทำให้เสือสงสัยยิ่งขึ้นไปอีก
พอมนุษย์มาตามช้างบ้าน เสือก็ท้ามนุษย์ว่า ไหน? เจ้าลองเอาปัญญามาสู้กับเราหน่อยซิ อยากเห็นปัญญาของเจ้า ...มนุษย์เจ้าของช้างว่า ตอนนี้ปัญญาไม่ได้พามา ยังสร้างไม่ได้ ข้าต้องไปหาเถาวัลย์มาก่อน เจ้าจะรอไหม ?....เสือก็บอกว่า ได้ ข้าพร้อมเสมอ...เมื่อได้เถาวัลย์มา เสือก็ถามว่า นี้หรือปัญญาของเจ้า ...มนุษย์ก็บอกว่า ตอนนี้ยังใช้ไม่ได้ เราต้องเอาเถาวัลย์นี้มัดเจ้าแล้วผูกกับต้นไม้ใหญ่ก่อน จึงจะใช้ปัญญาได้ เจ้าจะตกลงให้เรามัดหรือไม่ ? ...เสือตอบ ตกลง ...ส่วนเจ้าช้างบ้านก็คิดในใจว่า เดียวรู้สึก เดียวรู้สึก ...ทำนองนี้
หลังจากมนุษย์มัดเสือแล้วล่ามไว้กับต้นไม้แล้ว มนุษย์ก็ใช้เถาวัลย์เหนียวๆ แล้วเฆี่ยนเสือ พรางบอกว่า นี้ไง ปัญญา นี้ไง ปัญญา ไอ้เสือหน้าโง่...ทำนองนี้ ฝ่ายเจ้าช้างก็หัวเราะด้วยความขบขัน น้ำมูกน้ำตาไหลด้วยความสะใจที่เสือโง่กว่ามนุษย์...
ดังแต่นั้นมา เสือก็เกิดเป็นลายดำสลับทั้งตัว เพราะถูกมนุษย์เฆี่ยนแล้วมี แผลเป็น สืบต่อมาชั่วลูกชั่วหลาน ...ฝ่ายช้างด้วยความสะใจในความโง่ของเจ้าเสือ ก็หัวเราะจนกระทั่งดวงตาเล็กลงกว่าเดิม ทำให้ตาของช้างไม่สมดุลกับตัวของช้าง ตั้งแต่นั้นมา........(5 5 5)