คุณหมอวิจารณ์ พานิช ได้กล่าวถึง
“อานุภาพทั้งสิบ” หรือ
“พลังทั้งสิบ” ในการจัดการความรู้ ซึ่งมาจาก
“ปัญญาของผู้ปฏิบัติ” เป็นสำคัญ และ 1 ใน 10
ของอานุภาพที่คุณหมอวิจารณ์ได้กล่าวถึงก็คือ พลังของเรื่องเล่า (Story
Telling)
พลังของเรื่องเล่า
เป็นการเล่าเรื่องราวแห่งความสำเร็จ ที่ให้ความรู้สึกในเชิงบวก
เกิดความหวัง และพลังจากเรื่องเล่าจะมุ่งเน้นไปที่ “ความรู้ฝังลึก”
(Tacit Knowledge) ของตัวบุคคล
ผ่านการบอกเล่าความสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
พร้อมทั้งต้องสร้างบรรยากาศของความชื่นชมยินดีระหว่างกัน
อันก่อให้เกิดการยอมรับและไว้วางใจ
เพื่อการซักถามเสาะค้นความรู้อย่างมีคุณค่า
และเมื่อนั้นความรู้จะพรั่งพรูออกมาจากเรื่องเล่ามากมาย
ซึ่งจะต้องมีการ “บันทึกขุมความรู้”และนำมาช่วยกันตีความ
วิเคราะห์ขุมความรู้เพื่อยกระดับความรู้ต่อไป
และคุณหมอวิจารณ์ได้กล่าวถึงพลังของเรื่องเล่าจะเป็นเครื่องมือเชื่อมต่อความรู้ที่สั่งสมไว้จากการทำงานหรือประสบการณ์จากอดีตมาสู่ปัจจุบัน
ซึ่งผู้ฟังจะต้องคอยฉวยคว้าความรู้ (Capture)
จากเรื่องเล่ามาเป็นความรู้ที่สามารถนำไปเป็นหลักสำหรับสร้างความรู้ใหม่ขึ้นมา
หรือกล่าวได้ว่า เรื่องเล่ามีพลังในการเป็น “รูปธรรม”
ที่ให้เราสามารถค้นหา “นามธรรม” ได้
จากแนวคิด “พลังของเรื่องเล่า” (Story Telling) ข้างต้น
ทางโครงการความร่วมมือเพื่อพัฒนาสถาบันการจัดการความรู้ชุมชนท้องถิ่น
ซึ่งในปัจจุบันมีนักจัดการความรู้ท้องถิ่นที่กำลังขับเคลื่อนงานในพื้นที่
4 จังหวัดภาคกลาง จำนวน 9 คน โดยทุกๆ เดือน
ทางทีมงานโดยคุณสมโภชน์ นาคกล่อม หรือ ปาน
จะนัดหมายกับนักจัดการความรู้ท้องถิ่นทุกคนมาสรุปบทเรียนการทำงานของแต่ละคนร่วมกัน
และเครื่องมือหนึ่งที่ยังคงหยิบมาใช้เสมอก็คือ
พลังของเรื่องเล่า
วันที่ 26-27 ตุลาคม 2548
เราได้มานัดพบกันที่สวนรุ้งทิพย์ อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี
ซึ่งเป็นสวนอันร่มรื่นของคุณทรงพล เจตนาวณิชย์
ผู้อำนวยการโครงการฯ
ที่ได้เอื้อเฟื้อสถานที่ให้ทีมงานและนักจัดการความรู้ท้องถิ่นเข้าไปใช้สถานที่ได้ตามอัธยาศัย
เมื่อต่างคนต่างทักทายด้วยรอยยิ้มและไต่ถามสารทุกข์สุกดิบกันหอมปากหอมคอ
จึงได้เริ่มต้นด้วยให้แต่ละคนได้เล่าเรื่องราวความสำเร็จเล็กๆ
จากการทำงานในเดือนที่ผ่านมา
ซึ่งคงผู้เขียนคงไม่ต้องเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังถึงเรื่องเล่าที่นักจัดการความรู้ท้องถิ่นแต่ละคนได้ถ่ายทอดออกมานะครับ
เพราะวัตถุประสงค์ของบทความชิ้นนี้ไม่ได้อยู่ตรงนั้น
แต่อยู่ตรงที่พลังของเรื่องเล่า
ที่สามารถก่อให้เกิดพลังไปหนุนเสริมการทำงานของนักจัดการความรู้ท้องถิ่นได้อย่างไร?
และเราจะมาพูดกันถึงตรงนี้
จากที่ผู้เขียนได้กำหนดบทบาทของตนเองให้เป็น “คุณสังเกต”
ในการประชุมประจำเดือนนักจัดการความรู้ท้องถิ่น
ส่งผลให้ผู้เขียนสกัดความรู้จากพลังของเรื่องเล่ามาถ่ายทอดแลกเปลี่ยนความรู้แก่ท่านผู้อ่านในเนื้อที่ของบทความนี้
ซึ่งผู้เขียนได้พบว่าพลังของเรื่องเล่าสามารถสร้างอานุภาพให้แก่นักจัดการความรู้ท้องถิ่น
3 อานุภาพด้วยกัน คือ
1.
เสริมพลังการทำงาน
การบอกเล่าเรื่องราวการทำงานของนักจัดการความรู้ท้องถิ่นแต่ละคน
จะเล่าให้เพื่อนๆ ฟังกันว่าตอนนี้ตนเองกำลังดำเนินงานอะไร ทำกับใคร
อย่างไร มีปัญหาอุปสรรคอย่างไร
และจะปรับเปลี่ยนทิศทางการเดินงานให้ดียิ่งขึ้นได้อย่างไร
ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นประเด็นของผู้เล่าแต่ละคนที่ต้องถ่ายทอดความรู้จากประสบการณ์ทำงานให้เพื่อนๆ
ฟัง และให้ช่วยกันตีโจทย์ ตีประเด็น
วิเคราะห์ปัญหาเพื่อช่วยหาหนทางแก้ไข
ถ้าให้ผู้เล่าถ่ายทอดเรื่องราวอยู่เพียงฝ่ายเดียว
พลังของเรื่องเล่าก็ย่อมไม่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน
เพราะพลังของเรื่องเล่าจะเกิดขึ้นได้ ต้องมาจากการแลกเปลี่ยนความรู้
การซักถาม ช่วยเสริมเติมแต่งประเด็นให้ครบถ้วน
ซึ่งเป็นการสะท้อนกลับจากผู้ฟังที่ตั้งอยู่บนฐานของความหวังดี
ที่พ่วงความห่วงใย เป็นกัลยาณมิตรแก่กัน อาทิเช่น
(1) ให้คำแนะนำทิศทางการทำงาน
(2)
ให้คำเตือนหรือข้อพึงระวังถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นทั้งด้านบวกและด้านลบ
(3) การกระจายข้อมูลความสำเร็จ
และช่วยกันยืนยันข้อมูลที่ถูกต้อง เป็นจริง
(4) เรื่องเล่าแต่ละเรื่องที่ถ่ายทอดออกมา
สามารถนำมาเปรียบเทียบความเหมือน/ความต่าง
เพื่อคว้าความรู้ที่ได้จากเรื่องเล่าไปปรับใช้กับการทำงานของตน
อันเป็นตัวอย่างที่จะนำไปปฏิบัติ
(5) เมื่อได้ฟังเรื่องเล่าแล้ว
ก็สามารถนำเอาความรู้เก่าจากเรื่องเล่าของเพื่อนแต่ละคน
ไปทำเป็นยำรวมมิตรความรู้จากแต่ละคน
แล้วนำไปสร้างเป็นความรู้ใหม่ขึ้นมา
(6) การเล่าภาพฝันเพื่อทำให้เป็นจริง
ภาพฝันก็คือจินตนาการ ซึ่งจุดเริ่มต้นของการทำงานนั้น
ต้องมาจากความคิดที่เป็นไปได้ สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง
และนักจัดการความรู้ท้องถิ่นก็ได้ใช้ภาพความฝันหรือจินตนาการที่อยากจะทำ
นำไปปฏิบัติให้เกิดผลจริง
2. พลังของเรื่องเล่า
นำไปสู่การจัดการความรู้
เรื่องเล่าที่กลั่นออกมาจากใจของผู้เล่าแต่ละคนนั้น
จัดเป็นความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge)
ที่ต้องผ่านการสื่อสารทางภาษาพูด เขียนหรือสื่อประกอบ เช่น
ภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวซึ่งบันทึกไว้
แล้วนำมาถ่ายทอดร้อยเรียงให้เป็นเรื่องราวที่ผู้ฟังสามารถรับรู้ได้อย่างเข้าใจ
สามารถเห็นความรู้ที่แฝงอยู่ในเรื่องเล่า
และเห็นความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวบุคคล ซึ่งถ้าเราเปิดใจให้กว้าง
เปิดดวงตารับรู้สิ่งต่างๆ
รอบตัวเราเสมอและจะพบว่าความรู้ก็อยู่รอบตัวเรา ไม่ได้ห่างหายไปไกล
และหากเรารู้จักจับคว้าความรู้ให้ได้
แล้วยกระดับนำไปสู่การปฏิบัติจริง
เมื่อนั้นเราก็จะนำตนเองเข้าไปสู่กระบวนการจัดการความรู้
และตามที่ได้กล่าวไปแล้ว พลังของเรื่องเล่าเป็นอานุภาพ 1 ใน 10
ของการจัดการความรู้ แต่ต้องประสานไปพร้อมกันกับอานุภาพอื่นๆ ด้วย
ซึ่งนักจัดการความรู้ท้องถิ่นได้สะท้อนให้เห็นแล้วว่าสามารถประยุกต์ใช้อานุภาพต่างๆ
ได้อย่างกลมกลืน
2.1
สกัดความรู้จากเรื่องเล่า
สิ่งสำคัญของการจัดการความรู้ คือ
การสกัดความรู้หรือถอดความรู้หรือถอดบทเรียน จะเรียกอะไรก็ตาม
แต่นักจัดการความรู้ท้องถิ่นได้ใช้วิธีการสกัดความรู้สม่ำเสมอ
เพราะในขณะที่เพื่อนคนในเป็นผู้เล่า ก็ให้อาสาสมัคร 2 คนมาเป็น
“คุณอำนวย” คอยซักถาม ตั้งคำถามอย่างลงลึก เจาะความรู้จากเรื่องเล่า
ส่วนอีกคนให้เป็น “คุณบันทึก” ทำหน้าที่จับประเด็น
จับความรู้ที่เพื่อนเล่าขึ้นบนกระดาษฟลิปชาร์ท และแล้วความรู้ต่างๆ
ที่ลำเลียงออกมาจากเรื่องเล่า ก็ถูกบันทึกกลายเป็นความรู้
หากว่าบันทึกความรู้ไว้มากๆ แล้ว
ก็จะกลายเป็นขุมความรู้ที่สั่งสมเพิ่มพูนอยู่ตลอดเวลาเพื่อสามารถนำเอาความรู้ไปใช้ได้ในยามที่ต้องการ
กล่าวโดยสรุปก็คือว่า ในการสกัดความรู้จากเรื่องเล่า
การทำงานของนักจัดการความรู้ท้องถิ่นต้องประกอบด้วย ผู้เล่า คุณอำนวย
คุณบันทึก และการตั้งคำถามแบบเจาะลึกเรื่องราว
จึงจะสามารถสกัดความรู้จากเรื่องเล่าได้เป็นอย่างดี
2.2
บันทึกให้เป็นขุมความรู้
หัวข้อก่อนหน้า ให้น้ำหนักไปที่คุณอำนวย ซึ่งเป็นผู้คอยซักถาม
ป้อนคำถามให้เพื่อน เล่าเรื่องเราได้ไหลลื่นและลงลึก
แต่ในหัวข้อการบันทึกความรู้จะให้น้ำหนักไปที่คุณบันทึกเป็นพระเอกชูโรง
หากว่าคุณบันทึกไม่มีสมาธิในการฟังก็ย่อมจับความรู้จากเรื่องเล่าไม่ได้
และหากว่าจับประเด็นสำคัญไม่ได้ก็ยิ่งจะลดทอนความรู้ลงไปอีกมาก
เพราะฉะนั้นคุณบันทึกจึงต้องมีทักษะบวกกับสมาธิในการฟัง
การจับประเด็นและการเขียนไปพร้อมๆ กัน
ซึ่งกล่าวได้ว่าคุณบันทึกมีส่วนสำคัญต่อการทำให้เรื่องเล่าอันเป็น
“รูปธรรม” เป็น “นามธรรม” ได้ นามธรรมก็คือ
ความคิดหรือหลักการที่ได้ผ่านการวิเคราะห์
ตีความรูปธรรมจากเรื่องเล่าให้เป็นหลักการร่วมที่ผู้อื่นสามารถหยิบฉวยไปใช้ได้
อาจะเป็นในรูปแบบของการวิจัย งานเขียนเชิงวิชาการ
หรือหลักการที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ทั่วไป
และถ้าจะกล่าวตามหลักการจัดการความรู้ ก็จะกล่าวได้ว่า
เป็นการสกัดความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge)
ให้ยกระดับเป็นการบันทึกความรู้ลงในเอกสาร หนังสือหรืออินเตอร์เน็ท
ฯลฯ (Explicit Knowledge)
2.3 เรียนรู้จากฐานงานจริง
ผ่านเรื่องเล่า
พลังของเรื่องเล่า ย่อมต้องมาจากเรื่องดีๆ
ที่ก่อให้เกิดความรู้สึกดีแก่ทั้งผู้เล่าและผู้รับฟังและก่อให้เกิดความรู้สึกอิ่มเอมใจ
ซึ่งความรู้สึกเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้นั้น
พลังของเรื่องเล่าต้องมาจากความภาคภูมิใจ
ความสำเร็จจากการทำงานของผู้เล่า
จุดนี้เองที่จะเป็นประเด็นสำคัญให้เกิดการเรียนรู้จากฐานงานจริงผ่านเรื่องเล่าของแต่ละคน
และสร้างความเชื่อมั่นได้ว่า สิ่งดีๆ ที่ทำสำเร็จ ใครๆ ก็อยากจะทำ
นักจัดการความรู้ท้องถิ่นได้เรียนรู้จากประสบการณ์ความสำเร็จและความล้มเหลวจากเพื่อน
สิ่งใดดีก็นำไปประยุกต์ปรับใช้ พัฒนางานของตนให้ดีขึ้น
หากสิ่งใดทำไปแล้วไม่ประสบผลสำเร็จก็นำไปคิดไตร่ตรองให้รอบคอบ
หากประเมินร่วมกันแล้ว นักจัดการความรู้ท้องถิ่นเห็นว่ามีความเสี่ยง
มีปัญหาอุปสรรคและเป็นไปได้ยาก ก็จะทยอยให้ข้อเสนอแนะ
ข้อพึงระวังอันเป็นประโยชน์
เพื่อชี้ทางสว่างให้เพื่อไม่ต้องเผชิญกับขวากหนาม
ถึงแม้ฐานงานของนักจัดการความรู้ท้องถิ่นแต่ละคนจะแตกต่างกัน
แต่ความเชื่อมโยงของประสบการณ์จากฐานงานจริงของแต่ละคน
สามารถแปรเปลี่ยนเป็นพลังหนุนเสริมฐานงานของเพื่อนไปสู่การจัดการความรู้ได้
ซึ่งเป็นจุดเด่นที่สามารถจัดการความรู้จากประสบการณ์บนฐานงานจริงของเพื่อนๆ
ด้วยว่าควรจะทำอะไรต่อไป เดินงานอย่างไรจึงจะประสบผลสำเร็จ
3. พลังของเรื่องเล่า
ช่วยปรับทัศนะคติต่อการทำงาน
สิ่งสำคัญที่ผู้เขียนสังเกตได้จากการพูดคุยแลกเปลี่ยนระหว่างนักจัดการความรู้ท้องถิ่น
พบว่าพลังของเรื่องเล่าสามารถช่วยปรับทัศนะคติ อารมณ์
ความรู้สึกต่อการทำงานในเชิงบวกได้มากยิ่งขึ้น
เนื่องจากบางครั้งการทำงานก็ส่งผลกระทบถึงสภาวะจิตใจ
เพื่อนบางคนต้องพบกับปัญหาและอุปสรรคที่ทำให้การเคลื่อนงานต้องหยุดชะงัก
ไม่รู้ว่าจะเดินงานต่อไปอย่างไร
จึงเกิดความเครียดและท้อแท้กับการทำงาน
ซึ่งเป็นสภาวะทางอารมณ์ที่เรียกว่า
“ใจแฟบ”
ส่วนอีกมุมหนึ่ง ซึ่งผู้เขียนสังเกตเห็นได้ คือ
นักจัดการความรู้ท้องถิ่นคนใดที่สามารถเคลื่อนงานในพื้นที่ได้ตามแผนงานที่วางไว้
และได้สัมผัสกับชัยชนะเล็กๆ จากงาน
ซึ่งก่อให้เกิดความภาคภูมิใจต่อสิ่งที่ตนได้ลงแรงไป
และเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมายและชุมชน ย่อมส่งผลให้
“ใจฟู” ขึ้น
มีกำลังใจที่จะทำงานต่ออย่างไม่เกรงกลัวกับปัญหา เพราะฉะนั้น
พลังจากเรื่องเล่าจึงช่วยปรับความสมดุลของทัศนะคติหรือมุมมองที่ดีต่องานให้กับทุกคนได้แชร์ความรู้สึกดีๆ
ภาคภูมิใจร่วมกัน ปรับทุกข์ปรับสุขตามประสาพี่น้องอย่างเป็นกันเอง
ลดอคติกำแพงที่ขวางกั้นความสัมพันธ์ระหว่างกัน เพื่อหาจุดร่วม
และสามารถสร้างแรงจูงใจให้เพื่อนๆ
ที่ใจแฟบได้ลุกขึ้นมาผลักดันงานให้ก้าวหน้าและทำงานด้วยใจเป็นสุขร่วมกันต่อไป
และจากที่กล่าวถึงอานุภาพทั้ง 3 ประการจากพลังของเรื่องเล่า
เป็นแง่มุมหนึ่งของคนทำงานเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง ที่มีชื่อว่า
“นักจัดการความรู้ท้องถิ่น” ซึ่งได้สะท้อนให้เห็นแล้ว
“การจัดการความรู้” เป็นส่วนประกอบสำคัญในการทำงาน
หากละเลยความรู้ซึ่งสอดแทรกอยู่ทุกอณูของชีวิตไป
ก็ไม่สามารถที่จะจับคว้าความรู้มาผลักดันงานให้ก้าวหน้า
แต่ถ้ารู้จักประยุกต์ใช้ความรู้กับการทำงานสม่ำเสมอ
ผลสำเร็จของงานก็ไม่หนีหายไปไหน
เพราะการจัดการความรู้จะทำให้นักจัดการความรู้ท้องถิ่นสามารถนำความรู้มาปรับ
ประยุกต์ พลิกแพลง คว้าความรู้ใหม่มาปรับใช้ได้ทุกสถานการณ์ ทุกที่
ทุกเวลา
และยิ่งช่วยสร้างพลังให้การจัดการความรู้เป็นเครื่องมือที่เฉียบคมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นต่อการทำงาน
และนี่เป็นตัวอย่างเล็กๆ ของกลุ่มคนทำงานในชุมชนบ้านเกิดของตนเอง
ที่สามารถกล้าประกาศได้ว่า “ในชีวิตมีการจัดการความรู้
และการจัดการความรู้ก็อยู่ในชีวิตของแต่ละคน”
(บันทึกโดย ชยุต อินพรหม
;
เจ้าหน้าที่โครงการฯ)
ไม่มีความเห็น